แม้จะไม่ได้เดือดด้วยอารมณ์และการต่อสู้ที่เข้มข้น เต็มไปด้วยการปะทะกันที่รุนแรงในสนาม แต่เกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ถือเป็นเกมที่ดีที่สุดนัดหนึ่งในรอบหลายปี หรืออาจจะเกือบทศวรรษได้อยู่นะครับ
เราไม่ได้ดูสงครามสีแดงระหว่างสองทีมที่มีเกียรติยศยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษที่ตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว และต้องขอบคุณแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เล่นกันได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้ง 90 นาทีที่แอนฟิลด์ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ว่าเอาไว้ก่อนเกมครับว่าเขารู้จักวิธีดีๆ ที่จะเล่นกับทีมที่แกร่งถึงขีดสุดอย่างลิเวอร์พูล
ไม่ใช่ทุกทีมจะสามารถไล่ต้อนจนลิเวอร์พูลเริ่มออกอาการเมาหมัดได้แบบนี้ในเวลานี้ แต่ยูไนเต็ดทำได้
ปัญหาคือพวกเขาทำได้ไม่ดีพอที่จะกลับมาจากแอนฟิลด์แบบมีรอยยิ้ม
ลิเวอร์พูลอาจจะไม่ได้อยู่ในวันที่ดีที่สุด ใช้โอกาสเปลืองอย่างน่าเขกกะโหลก และออกอาการโซซัดโซเซอยู่บ้างในช่วงครึ่งหลัง มี 2-3 ครั้งหรือมากกว่าที่พวกเขาเกือบจะเสียท่า โดยเฉพาะในจังหวะโล่งๆ ของ อองโตนี มาร์กซิยาล ในช่วงครึ่งหลัง ที่หากบอลตรงกรอบและเข้าประตู บางทีสถานการณ์ในเกมอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้
แต่ในภาพรวมแล้วลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่า และนับว่าคู่ควรกับการเป็นผู้ชนะในเกมที่น่าตื่นเต้นนัดนี้
ความจริงเรื่องชัยชนะนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกินจากความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะสำนักไหนต่างก็เทใจเชื่อว่าลิเวอร์พูลจะเป็นฝ่ายชนะได้อย่างไม่ยากเย็นในเกมนี้
ไม่ใช่แค่เพราะได้เล่นในบ้านต่อหน้าเดอะค็อปเกินครึ่งแสน ไม่ใช่เพราะฟอร์มการเล่นที่มหัศจรรย์เหลือเชื่อของพวกเขาที่ชนะมา 20 จาก 21 นัด แต่ลิเวอร์พูลยังได้เปรียบในเรื่องของขุมกำลังค่อนข้างมากในเกมนี้
ในขณะที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ทยอยได้กำลังหลักของทีมอย่าง ฟาบินโญ และโฌเอล มาติป ที่หายเจ็บกลับมา ทางด้านโซลชาร์กลับต้องพบกับข่าวร้าย เมื่อ มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าความหวังหมายเลข 1 ของทีมเกิดบาดเจ็บขึ้นมาก่อนเกม และไม่สามารถลงสนามในเกมนี้ไหว
และข่าวร้ายกว่านั้นคือแรชฟอร์ดที่กำลังอยู่ในฟอร์มของชีวิตบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นต้องพักการเล่น 6-8 สัปดาห์
ไม่นับการขาด สกอตต์ แม็กโทมิเนย์ และพอล ป็อกบา สองกองกลางหัวใจสำคัญที่บาดเจ็บจนต้องพักยาวไปก่อนหน้า ทำให้วันนี้ปีศาจแดงมาเยือนในสภาพสะบักสะบอมพอสมควร
สิ่งที่น่าชื่นชมคือการวางแผนเกมของโซลชาร์ที่วันนี้ปรับระบบการเล่นมาใช้กองหลัง 3 ตัวอีกครั้งเหมือนการพบกันที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเมื่อเดือนตุลาคมปีกลาย โดยใช้ผู้เล่นวิงแบ็กคอยปิดการขึ้นเกมทางริมเส้นซ้ายและขวา ซึ่งเป็นอาวุธที่อันตรายที่สุดของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้
ในวันนี้ แบรนดอน วิลเลียมส์ ไอ้หนูดาวรุ่งทำได้เยี่ยมในการตัด เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ออกจากเกมได้อย่างสนิททางฝั่งขวา ขณะที่ทางฝั่งซ้าย อารอน วาน-บิสซากา ทำได้ไม่ดีเท่า แต่ก็ถือว่าพยายามเต็มที่แล้วไม่ว่าจะจังหวะรุกหรือรับ
รายละเอียดในเกมกลยุทธ์อื่นๆ ก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเพรสสูงเพื่อบีบให้ลิเวอร์พูลคายและเสียบอลให้มากที่สุด เกมรับที่แพ็กแน่นสอดซ้อนได้ดี ไปจนถึงการเปลี่ยนจังหวะการเล่นจากรับเป็นรุกที่รวดเร็ว การเข้าทำด้วยการใช้การต่อบอลแม่นยำ
จุดที่พวกเขาพลาดคือการรับมือกับลูกเซตพีซได้ไม่ดี ในขณะที่เรื่องลูกตั้งเตะของลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในไม้ตายที่เชื่อขนมกินได้สำหรับพวกเขา
การยืนระบบคุมโซน (Zonal Marking) กลายเป็นความผิดพลาดที่ทำให้พวกเขาโดนลิเวอร์พูลยิงประตูขึ้นนำไปตั้งแต่นาทีที่ 14 เมื่อ แบรนดอน วิลเลียมส์ และแฮร์รี แม็กไกวร์ ไม่สามารถจะหยุด ‘ยักษ์’ แบบ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ได้
จากจุดนั้นความจริงไม่น่าจะมีอะไรยากสำหรับลิเวอร์พูล เพราะทุกอย่างถือว่าเข้าทาง โดยเฉพาะในเรื่องของความมั่นใจที่ปลดพันธนาการในหัวใจ ซึ่งมักจะทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองทุกทีที่ต้องพบกับคู่ปรับตลอดกาลได้สำเร็จ
ปัญหาคือวันนี้แนวรุกของลิเวอร์พูลหวือหวา แต่ไม่เฉียบคม โอกาสมากมายที่เกิดขึ้นไม่สามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นประตูได้
หลังประตูขึ้นนำอาจจะมีจังหวะปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะในลูกที่ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ปั่นโค้งเสียบเสาไกลอย่างสวยงาม แต่สุดท้ายถูกริบประตูคืน หลังผู้ตัดสินเช็ก VAR แล้วยืนยันว่าฟาน ไดจ์ค ทำฟาวล์ ดาบิด เด เคอา ไปก่อนแล้วในจังหวะก่อนหน้า (ซึ่งมันก็ชวนให้แฟนลิเวอร์พูลหลายคนอดคิดไม่ได้ว่าแล้วที่ ดิว็อค โอริกิ โดนสอยจนนำไปสู่ประตูขึ้นนำของยูไนเต็ดในการพบกันคราวที่แล้วเล่า?)
เมื่อยิงไม่ได้ ยิ่งเล่นก็ยิ่งกลายเป็นกดดันตัวเอง สวนทางกับคู่แข่งที่ยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจในการเล่นของตัวเอง
แม้แต่ เฟร็ด กองกลางที่เป็นเหมือนตัวตลกของแฟนปีศาจแดงเองก็แสดงให้เห็นว่า หากอยู่ในวันของเขาแล้ว ต่อให้เป็นกองกลางที่แข็งแกร่งอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม เขาก็สู้ได้ไม่เป็นรอง
ว่ากันตามเนื้อผ้า หากเป็นการพบกันทั่วไปก่อนหน้า ผมเชื่อว่ายูไนเต็ดอาจจะตีเสมอได้ หรืออาจจะไปไกลถึงขั้นแซงนำได้ด้วยครับ
เพียงแต่ลิเวอร์พูลชุดนี้เป็นทีมที่พิเศษ
จอห์น บาร์นส ปีกนิลกาฬขวัญใจแอนฟิลด์ซึ่งทำหน้าที่ผู้วิเคราะห์เกมภาคสนาม พูดถึงสิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลชุดนี้เหนือกว่าคู่แข่งคือเรื่องของความสม่ำเสมอ
ความสม่ำเสมอของหงส์แดงยุคนี้นั้นเป็นระดับปรากฏการณ์ครับ ก่อนหน้าจะพบกับยูไนเต็ด พวกเขาไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกัน 38 นัดหรือเทียบเท่า 1 ฤดูกาล นอกจากนี้ยังไม่แพ้ใครในลีกมาเกิน 1 ปีเต็ม และไม่แพ้ในแอนฟิลด์มาแล้ว 51 นัด หรือคิดเป็น 1,000 วันพอดิบพอดี
ในมาตรฐานที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่ หากเป็นวันที่ดี ลิเวอร์พูลทีมนี้พร้อมจะถล่มคู่แข่งได้ 4-5 ลูกไม่ยากเหมือนที่เลสเตอร์ ซิตี้ โดนไปในเกมล่าสุด (คุณ บก.เคน ได้เห็นกับตา) แต่ต่อให้เป็นวันที่พวกเขาเล่นได้แย่ก็ยังดีพอที่จะเก็บชัยชนะได้เสมอ
ไม่ว่ามันจะเป็นชัยชนะที่ได้มาด้วยความพยายามหรือมีบุญวาสนานำพาก็ตาม
นั่นทำให้พวกเขาเก็บได้ถึง 97 คะแนนในฤดูกาลที่แล้ว โดยแพ้แบบหวุดหวิดต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ทีมเดียว และแม้ในฤดูกาลนี้จะเล่นได้ไม่ดีเท่าฤดูกาลก่อน แต่ก็ชนะได้หมด ยกเว้นเกมเยือนโอลด์แทรฟฟอร์ดแค่เกมเดียว
สิ่งนี้เราได้เห็นชัดๆ อีกครั้งในเกมแดงเดือดครับ เมื่อลิเวอร์พูลทั้งเอาตัวรอดและรอดตัวจากยูไนเต็ดได้ ทั้งๆ ที่กระแสเกมของพวกเขาขาดอย่างสิ้นเชิง
วันนี้ลิเวอร์พูลรอดได้ด้วยความพยายามและความรู้สึก
ทั้งความรู้สึกที่อยากจะเป็นผู้ชนะ ความรู้สึกที่ไม่อยากเป็นผู้แพ้ และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกว่าพวกเขาจะไม่ยอมสูญเสียอะไรอีกแล้ว
ดังนั้นไม่ว่ายูไนเต็ดจะบุกมาได้น่ากลัวแค่ไหน นักเตะลิเวอร์พูลพร้อมจะช่วยกันป้องกันอย่างสุดชีวิต ไม่ยอมให้คู่แข่งกลับเข้าสู่เกมของตัวเองได้เป็นอันขาด ซึ่งความจริงมันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำให้เห็น เพราะในฤดูกาลนี้ทีมของคล็อปป์ทำให้เหล่าค็อปชนต้องสูดยาดม กินยาแก้ปวดหัว บางคนอาจถึงขั้นต้องกินยาลดความดันมานับไม่ถ้วน
นี่ก็เป็นอีกครั้งแค่นั้นที่พวกเขาทำได้
แต่สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นลิเวอร์พูลที่ชัดเจนที่สุดคือประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งความจริงมันเริ่มจากจังหวะที่ยูไนเต็ดกำลังลุ้นจะตีเสมอด้วยซ้ำ
เมื่อบอลกระเด้งมาเข้ามือของ อลิสซง เบ็คเกอร์ ในสถานการณ์แบบนี้ หากเป็นประตูรายอื่นทั่วไปก็อาจจะล้มลงนอนกับพื้นเพื่อฆ่าเวลาให้ได้สัก 10-15 วินาที ก่อนจะเตะเปิดเกมออกมาไกลๆ สักที่ให้คู่แข่งกลับมาตั้งเกมได้ยากๆ
แต่เบ็คเกอร์เห็นสัญญาณจาก โม ซาลาห์ ที่ยืนวัดใจกับแนวสุดท้ายของคู่ต่อสู้ก่อนที่จะเตะเปิดเกมยาวให้ทันที สุดท้ายดาวยิงอียิปต์ที่พลาดแล้วพลาดเล่าตลอดทั้งเกมก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นกองหน้าที่ดีของเขา เมื่อขอแค่โอกาสดีๆ ครั้งเดียวก็สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้
ประตูของซาลาห์ไม่ได้แค่ทำให้ลิเวอร์พูลย้ำชัยชนะด้วยสกอร์ 2-0 แต่มันยังทำให้เสียงเพลงดังกระหึ่มทั่วแอนฟิลด์
เป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ที่เดอะค็อปในแอนฟิลด์ร้องเพลงว่า “We are going to win the league” หรือ “พวกเรากำลังจะคว้าแชมป์ลีก”
เพลงนี้แม้จะไม่มีการบัญญัติกฎอะไรไว้ตายตัว แต่ที่ผ่านมาถือเป็นเพลงต้องห้ามของแฟนลิเวอร์พูล เพราะที่ผ่านมาพวกเขาต้องเจ็บและเสียหน้ากับการออกตัวแรงแบบนี้มาหลายครั้งในการลุ้นแชมป์ลีกสมัยแรกนับตั้งแต่ได้ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990
แต่กับครั้งนี้ด้วยระยะห่าง 16 คะแนนกับรองจ่าฝูงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยที่ยังมีเกมในมืออีก 1 นัด และจากสิ่งที่พวกเขาได้เห็นตลอดทั้งฤดูกาล รวมกับการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลที่แก่งแย่งชิงดีกันมาตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา
แม้แต่คล็อปป์ก็เข้าใจในความรู้สึกของแฟนบอล และพูดในทำนอง ‘อนุญาต’ ให้ทุกคนฝันได้
ยกเว้นก็เพียงทีมของเขาที่ยังมีสิ่งที่ต้องทำต่อ โดยในฤดูกาลนี้ยังเหลือการเดินทางอีก 16 นัด หรือเกือบครึ่งฤดูกาล
อย่างไรก็ดี จากถ้อยคำของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เจ้าของรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเกมนี้ (ส่วนผมยกให้ ฟาน ไดจ์ค มากกว่า) ดูเหมือนว่าขุนพลชุดแดงเพลิงจะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงมากมายนัก
เพราะแม้จะชนะคู่ปรับตลอดกาล แม้สถานการณ์จะเป็นใจไปเสียหมด แต่นักฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกคนถูกปลูกฝังทัศนคติเอาไว้ดี
เฮนเดอร์สันย้ำถึง 3 สิ่งสำคัญที่ทีมจะต้องรักษาไว้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
Stay hungry, keep learning and keep wanting more
จงหิวกระหาย ใฝ่เรียนรู้ และห้ามพอใจแค่นี้
ด้วยทัศนคตินี้ หากพวกเขาทุกคนรักษามันเอาไว้ได้จริงๆ ผมคิดว่าในบทสรุปสุดท้ายของฤดูกาล เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์’
แม้ว่าความจริงที่เป็นอยู่ก็อาจดีพอที่จะเรียกว่าปรากฏการณ์ได้แล้วก็ตาม
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ลิเวอร์พูลต้องการอีก 30 คะแนนจาก 16 นัดที่เหลือเพื่อเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ และเป็นแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีของสโมสร
- ตามโปรแกรมการแข่งขัน หากลิเวอร์พูลชนะไปเรื่อยๆ และรองจ่าฝูงอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะไปเรื่อยๆ เกมที่จะเป็นเกมตัดสินแชมป์คือการพบกันระหว่างทั้งสองทีมในวันที่ 4 เมษายน ที่เอติฮัด สเตเดียม
- ปัญหาสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือพวกเขาไม่เคยชนะในลีกติดต่อกันเกิน 3 นัดเลยในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
- และหากลิเวอร์พูลได้แชมป์ในวันนั้นจริง พวกเขาจะเป็นแชมป์ลีกที่เร็วที่สุดทีมใหม่ หลังสถิติเดิมเป็นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ ซิตี้
- อีก 2 สถิติที่ลิเวอร์พูลสามารถหวังได้คือสถิติการไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกันนานที่สุด ซึ่งสถิตินี้เป็นของอาร์เซนอลที่ 49 นัด และลิเวอร์พูลจะทำลายมันได้หากพวกเขาไม่แพ้แอสตัน วิลล่า ในวันที่ 11 เมษายน และสถิติสุดยอดอย่างการไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล 38 นัดที่มีอาร์เซนอลทำได้แค่ทีมเดียวในฤดูกาล 2003-04
- หากลิเวอร์พูลชนะทุกนัดที่เหลือ พวกเขาจะเก็บได้ถึง 112 คะแนน (จากทั้งหมด 114 คะแนน) ซึ่งจะทำลายสถิติแต้มสูงสุดที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยทำได้ในฤดูกาล 2017-18
- ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเส้นทางรายการแชมเปียนส์ลีกและเอฟเอคัพ ซึ่งหากพวกเขาคว้าแชมป์ลีกและได้แชมป์บอลถ้วย 2 รายการนี้ด้วยก็จะเป็นทีมที่ 2 ที่สามารถคว้า ‘เทรเบิลแชมป์’ ถ้วยใหญ่ต่อจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยทำไว้เมื่อปี 1999