“ลิเวอร์พูลจะซื้อใครไหม”
คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมถูกถามอยู่เรื่อยๆ ครับตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม เรื่อยมาจนถึงหลังนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อต้นเดือนมิถุนายน จนถึงปัจจุบันในวันที่เราเข้าสู่เดือนสิงหาคม วันแห่งการเริ่มต้นฤดูใหม่
ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิมครับ
ไม่ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจีบ เปาโล ดีบาลา หรือนิโกลัส เปเป้ จะย้ายมาสวมเสื้ออาร์เซนอล หรือท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กำลังตามจีบ บรูโน เฟอร์นานเดส อย่างจริงจัง – สำหรับลิเวอร์พูล พวกเขาไม่มีแผนการที่จะซื้อผู้เล่นระดับที่เราเรียกกันว่า ‘บิ๊กเนม’ เข้ามาแม้แต่รายเดียว
สองคนที่ เจอร์เกน คล็อปป์ อนุมัติคือ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ไอ้หนูปราการหลังดาวรุ่งชาวฮอลแลนด์จากทีมพีอีซี ซโวลล์ ที่มีค่าตัวเพียง 1.7 ล้านปอนด์ และไม่กี่วันมานี้ที่ได้ ฮาร์วีย์ เอลเลียต เด็กที่ว่ากันว่าเป็นวันเดอร์คิดมาจากฟูแลม ซึ่งอาจต้องจ่ายเงินชดเชยให้สูงเป็นประวัติการณ์สำหรับเด็กอายุ 16 ปี แต่ก็เพียงแค่ราว 10 ล้านปอนด์เท่านั้น
ไม่แปลกที่เดอะค็อปจำนวนไม่น้อยจะไม่เข้าใจ อาจจะไม่ถึงขั้นตีอกชกหัวตัวเอง แต่ก็ต้องมีบ้างที่เอามือก่ายหน้าผากจนศีรษะเกือบเถิก หรือขยุ้มผมจนแทบจะร่วงลงมาเป็นกำ เพราะผลงานช่วงพรีซีซันในฤดูกาลนี้มีความน่าเป็นห่วง
และทั้งๆ ที่ในฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลทำรายได้เฉพาะจากพรีเมียร์ลีกถึง 152 ล้านปอนด์ และอีก 67 ล้านปอนด์จากการที่พวกเขาคว้าแชมป์ยุโรปในรายการแชมเปียนส์ลีกมาครอง
ไม่นับเรื่องของ ‘แรงดึงดูด’ ในฐานะทีมที่นอกจากจะเป็นแชมป์ยุโรปแล้วยังทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ มีการบริหารสโมสรที่ยอดเยี่ยม มีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน เรียกว่าในเวลานี้หากพวกเขาต้องการซูเปอร์สตาร์หน้าใหม่เข้ามาอีกสักคน โอกาสที่จะได้ตัวมาร่วมทีมนั้นสูงยิ่งกว่าในอดีตที่ต้องไปเฝ้าอ้อนวอน พะเน้าพะนอ แล้วก็ถูกสโมสรอื่นตัดหน้าไป
แล้วทำไมคล็อปป์รวมถึง ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส ในฐานะผู้บริหารที่ดูแลด้านการเสริมทัพปรับทีมจึงไม่คว้านักเตะใหม่เพื่อความสดชื่นในหัวใจของแฟนบอลสักคนสองคนเล่า?
เรื่องนี้พอจะอธิบายได้ครับ
เหตุผลข้อที่ 1: อะไรที่ดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง
จากผลงานในฤดูกาลที่แล้วที่นอกจากจะปลดล็อกด้วยการคว้าแชมป์รายการแรกภายใต้การนำของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันด้วยการคว้าแชมป์ใบใหญ่อย่างแชมเปียนส์ลีก ในพรีเมียร์ลีกเอง ลิเวอร์พูลก็ทำผลงานได้เข้าขั้นมหัศจรรย์ไม่แพ้กัน
97 คะแนนที่พวกเขาทำได้จาก 38 นัดที่ลงแข่งขัน โดยแพ้แค่เกมเดียวตลอดฤดูกาล (และเป็นการแพ้ต่อแชมป์อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมที่เป็นจุดพลิกผันสำคัญ) เป็นผลงานที่เหลือเชื่อ ซึ่งประเมินจากผลงาน ประเมินจากระบบการเล่น และประเมินจากขุมกำลังที่มี คล็อปป์ยังคง ‘เชื่อ’ ในทีมชุดที่เขามีอยู่
Spine หรือเสาหลักของทีมยังแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น อลิสสัน, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หรือโรแบร์โต เฟียร์มิโน ไม่นับผู้เล่นคนสำคัญอื่นๆ ที่ลงตัวแทบทุกตำแหน่งอยู่แล้ว
ดังนั้นอะไรที่ดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเสมอไป
เหตุผลข้อที่ 2: การเสริมทัพใหม่ด้วยนักเตะเก่า
จากข้อ 1 ในสภาพทีมที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิม การจะเสริมทัพด้วยผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะไม่ใช่ผู้เล่นระดับสตาร์ทุกคนพร้อมที่จะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่บนม้านั่งสำรอง
ครั้นจะหาระดับสตาร์ชั้นรองหรือนักเตะดาดๆ ทั่วไปมาก็ไม่ได้แปลว่าจะดีกว่าที่มีอยู่
สิ่งที่คล็อปป์ทำจึงเป็นการหันมามองขุมกำลังที่มีอยู่เดิมในทีม ซึ่งในฤดูกาล 2018-19 มีหลายรายที่ยังไม่ได้แสดงศักยภาพในตัวออกมาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, นาบี เกอิตา, โจ โกเมซ หรืออดัม ลัลลานา รวมถึง ดิว็อค โอริกิ ที่กลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้ง
ในทีมลิเวอร์พูลยังมีดาวรุ่งที่โดดเด่นอย่าง ริอาน บรูว์สเตอร์ กองหน้าเพชรเม็ดงามที่สโมสรต้องต่อสู้แทบแย่กว่าจะรั้งตัวเอาไว้ในแอนฟิลด์ต่อไปได้ และถูกผลักดันเป็นตัวตายตัวแทนของ ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่หมดสัญญากับสโมสร
รวมถึง คี-ยานา ฮูเวอร์ ปราการหลังที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และยาสเซอร์ ลารูซี ดาวรุ่งที่เป็นการค้นพบที่เซอร์ไพรส์จากระบบอคาเดมีของสโมสร และกำลังถูกมองว่าจะเป็นตัวเลือกในตำแหน่งแบ็กซ้ายแทนที่ อัลแบร์โต โมเรโน ที่หมดสัญญากับสโมสรเช่นกัน
อีกหนึ่งรายที่แฟนๆ จับตามองอย่างมากคือ แฮร์รี วิลสัน สตาร์ที่เติบโตจากอคาเดมีของสโมสรที่กลายเป็นหนึ่งดาวเด่นของวงการฟุตบอลอังกฤษจากผลงานกับดาร์บี เคาน์ตี ที่ไปเล่นแบบยืมตัวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
กลุ่มนักเตะเหล่านี้สามารถมองได้ในฐานะนักเตะที่ถูกเซ็นสัญญาเข้ามาใหม่ก็พอได้ อยู่ที่เลือกจะมองแบบไหน
เหตุผลข้อที่ 3: ชีวิตในโลกของความจริงไม่ใช่ Fantasy Land
คล็อปป์ถูกถามในเรื่องของการเสริมทีมในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูร้อนที่เงียบสนิท ไร้ข่าวฮือฮาใดๆ ในขณะที่คู่แข่งแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็มีการเสริมทัพด้วย โรดรี กองกลางอนาคตไกลจากแอตเลติโก มาดริด ด้วยจำนวนค่าตัวมหาศาล 62.5 ล้านปอนด์
คำตอบของกุนซือชาวเยอรมันคือ “เราไม่ได้อยู่ในโลกของจินตนาการ”
ขยายความคำพูดของคล็อปป์ต้องเท้าความกลับไปในช่วงตลาดฤดูร้อนเมื่อปีกลาย ที่ลิเวอร์พูลสร้างความฮือฮาด้วยการเสริมผู้เล่นในระดับทีมชุดใหญ่ถึง 4 คนคือ ฟาบินโญ, เซอร์ดาน ชากิรี, นาบี เกอิตา และอลิสสัน ด้วยจำนวนเงินราว 160 ล้านปอนด์ ไม่นับการคว้าตัวฟาน ไดค์ กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกอีก 75 ล้านปอนด์
สำหรับสโมสรที่บริหารอย่างเป็นระเบียบแบบลิเวอร์พูล นั่นเป็นการลงทุนจำนวนมหาศาลแล้ว (ยังมีการลงทุนอื่นๆ อีก เช่น การปรับปรุงอัฒจันทร์ฝั่งเมนสแตนด์ใหม่) และพวกเขาไม่สามารถทำในสิ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเชลซี หรือแม้แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำด้วยการทุ่มเงินซื้อผู้เล่นด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยมหาศาลได้
หรือต่อให้ทำได้ พวกเขาก็ไม่มีนโยบายที่จะทำแบบนั้นอยู่ดี
อีกเหตุผลประกอบคือในปีนี้ตลาดการซื้อขายผู้เล่นในอังกฤษซบเซาลง การซื้อผู้เล่นไม่ได้บ้าเลือดเหมือนหลายซัมเมอร์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันค่าตัวผู้เล่นนั้นเฟ้อจนทำให้สโมสรไม่กล้าที่จะลงทุน ดังนั้นการที่ลิเวอร์พูลเลือกจะไม่กระโดดเข้าตลาดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
เหตุผลข้อที่ 4: การลงทุนแฝงที่สำคัญ
การลงทุนในเกมฟุตบอลนั้นไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวกับการลงทุนซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทีมเท่านั้น เพราะสโมสรยังสามารถลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เช่น การลงทุนกับระบบอคาเดมีเพื่อสร้างนักฟุตบอลชั้นยอดขึ้นมาเอง ซึ่งลิเวอร์พูลก็ทำอยู่
และการลงทุนอีกรูปแบบที่ลิเวอร์พูลทำ แต่อาจไม่ได้ถูกพูดถึงมากนัก คือการลงทุนเพื่อรักษาผู้เล่นที่มีอยู่
นับตั้งแต่ฤดูร้อนเมื่อปีกลาย กรกฎาคม 2018 จนถึงฤดูร้อนนี้ กรกฎาคม 2019 ลิเวอร์พูลทำการต่อสัญญากับผู้เล่นที่มีอยู่เดิมภายในทีมมากถึง 12 รายด้วยกันครับ
ตั้งแต่ผู้เล่นในระดับคีย์แมนของทีมอย่าง 3 ประสานแนวรุก โมฮัมเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟียร์มิโน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มาจนถึงกลุ่มกำลังเสริมและนักเตะแห่งอนาคตอย่าง อเล็กซ์ ออกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, โจ โกเมซ, ริอาน บรูว์สเตอร์, แฮร์รี วิลสัน, ดิว็อค โอริกิ และคี-ยานา ฮูเวอร์
เหล่านี้คือการ ‘ลงทุน’ ในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่ต่างอะไรจากชีวิตจริงที่เราสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งการซื้อกองทุนหรือการซื้อประกัน
การต่อสัญญากับผู้เล่นมากมายขนาดนี้เป็นหลักประกันว่าลิเวอร์พูลจะสามารถใช้งานทีมชุดนี้ได้ต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาในอีก 2-3 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะได้เติบโตไปพร้อมกัน
หรือหากจะมีสตาร์คนไหนคิดย้ายทีมขึ้นมา ทีมก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่วนเหตุผลที่ลิเวอร์พูลตัดสินใจรีบรั้งนักเตะเอาไว้มากขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาพวกเขามักจะประสบปัญหาสูญเสียผู้เล่นระดับสตาร์ให้คู่แข่งที่ใหญ่กว่าแบบจำใจ
แต่แน่นอนครับว่าการต่อสัญญาใหม่หมายถึงค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่น (แน่นอนว่าต้องมีค่าเซ็นสัญญา ฯลฯ) และนั่นก็เป็นค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น เพียงแต่หลายคนอาจจะไม่ทันสังเกต
เหตุผลข้อที่ 5: อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ในเหตุผล 4 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ผมคิดว่าเราน่าจะพอเห็นภาพชัดขึ้นว่าทำไมลิเวอร์พูลถึงยังไม่ปรับทัพเสริมทีมในช่วงฤดูร้อนนี้
อย่างไรก็ดี ยังมีเหตุผลอีกข้อครับที่ชวนคิด
นั่นคือในขณะที่สโมสรคู่แข่งกำลังใช้จ่ายกันอย่างมือเติบ ลิเวอร์พูลยังมีเงินเต็มท้องพระคลังจากรายได้ที่สะสมตลอดปีที่ผ่านมา บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาอยากจะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
เพราะก็มีเสียงเล่าเสียงลือกันสนุกๆ นะครับว่า (ย้ำนะว่าลือกันสนุกๆ) หรือลิเวอร์พูลตั้งใจจะหยอดกระปุกเอาไว้สำหรับ คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่คาดว่าจะสามารถย้ายทีมได้ในฤดูกาลหน้า (แต่ส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะค่าเหนื่อยของเอ็มบัปเป้เกินขีดความสามารถที่ลิเวอร์พูลจะจ่ายไหว) อีกรายที่ชวนคุยสนุก ปากดี และเหมือนจะเป็นไปได้มากกว่าคือ จาดอน ซานโช เพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งชาวอังกฤษที่ไปแจ้งเกิดกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
แต่ล่าสุดก็มีกระแสข่าวนะครับว่าก่อนตลาดการซื้อขายจะปิดตัวลงในวันที่ 8 สิงหาคม คล็อปป์กำลังมองหานักเตะใหม่ในระดับ ‘ชุดใหญ่’ อย่างน้อย 1 คน โดยจะเป็นผู้เล่นตำแหน่งตัวรุกสารพัดประโยชน์ โดยจะปล่อย แฮร์รี วิลสัน และไรอัน เคนต์ ที่ถึงวัยต้องเริ่มต้นชีวิตการเล่นอย่างจริงจัง และอาจไม่มีโอกาสนั้นในแอนฟิลด์
อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วหากลิเวอร์พูลไม่ได้เสริมทีมจริงๆ อาจสรุปได้ว่าการที่ไม่มีผู้เล่นที่คล็อปป์และทีมงานต้องการที่สามารถย้ายทีมมาได้ในเวลานี้ (หรือมีแต่ไม่สนใจเงื่อนไขภายในทีม) และพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนอะไรมากมายเกินไป หลังจากที่ได้ลงทุนและลงแรงไปมากมายก่อนหน้านี้
ทั้งหมดคือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นเหตุผลลึกๆ ที่เดอะค็อปควรจะได้รู้และเข้าใจว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ไม่คิดทำอะไร
ในทางตรงกันข้าม พวกเขาทำมาเยอะและคิดมาอย่างรอบคอบแล้ว
ส่วนจะคิดถูกหรือทำผิด ค่อยให้ผลงานในฤดูกาลใหม่เป็นเครื่องชี้วัดเอาก็แล้วกัน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ตลาดการซื้อขายผู้เล่นของอังกฤษจะปิดเร็วกว่าทุกประเทศ โดยในปีนี้จะปิดในเวลา 5 โมงเย็นของวันที่ 8 สิงหาคม แต่สำหรับลิเวอร์พูลที่มีคิวลงเล่นนัดแรกไวกว่าคนอื่น คือประเดิมสนามคืนวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม ทำให้พวกเขาต้องจัดการลงทะเบียนผู้เล่นให้เรียบร้อยภายในเที่ยงของวันที่ 8
- ในฤดูกาลที่แล้ว ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ นั้นหนักข้อกว่า เพราะไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเสริมทีมแม้แต่รายเดียวตลอดทั้งสองรอบตลาดการซื้อขาย
- ยาสเซอร์ ลารูซี แบ็กซ้ายหน้าใหม่ที่สร้างความประทับใจในช่วงพรีซีซัน จริงๆ แล้วเป็นปีกซ้าย
- ขณะที่ อดัม ลัลลานา กองกลางจอมเทคนิค ถูกปรับบทบาทใหม่ในการเป็นกองกลางตัวเชื่อมเกม (หมายเลข 6) ซึ่งในเกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายกับลียง เขาทำหน้าที่ได้ค่อนข้างดี
- ลิเวอร์พูลจะต้องลงแข่งขันมากถึง 7 รายการในฤดูกาลใหม่คือ พรีเมียร์ลีก, ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ, เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ โดยจะเริ่มลงสนามนัดแรกในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ พบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คู่ปรับสำคัญในวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคมนี้