ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทย แบ่งกระดานเทรดออกเป็น 2 กระดานหลัก คือ SET และ mai แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้เปิดตัวกระดานเทรดหุ้นที่ 3 ภายใต้ชื่อ LiVE Exchange (LiVEx) เพื่อรองรับการระดมทุนและซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นของ SMEs และสตาร์ทอัพในประเทศไทย
ประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ LiVE Exchange เปิดเผยว่า หลังจากเปิดตัว LiVEx ตั้งแต่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ได้เตรียมพร้อมที่จะเปิดรับบริษัท SMEs รายแรกคือ บมจ.แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส (AWS22) โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในกระดานได้ในวันที่ 9 กันยายน 2565 โดยจะมีการจัด Road Show ที่ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 9 สิงหาคม 2565
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สิ่งหนึ่งที่แตกต่างไประหว่างการเตรียมตัวเพื่อเข้าจดทะเบียนใน LiVEx เทียบกับ SET และ mai คือระยะเวลาดำเนินการที่สั้นลง อย่างกรณีของ AWS22 เริ่มยื่นไฟลิ่งตั้งแต่ 6 มิถุนายน 2565 หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนของการเปิดรับความเห็นของสาธารณชน (Public Opinion) เป็นระยะเวลา 30 วัน จากนั้นจึงเริ่มนับ 1 ไฟลิ่ง ก่อนจะเข้าสู่ช่วงของการเสนอขายภายใน 6 เดือน นับแต่สิ้นสุดระยะ Cooling Off
โดยรวมแล้วในกรณีนี้ใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ขณะที่การเตรียมตัวเพื่อเข้าจดทะเบียนใน SET และ mai จะใช้เวลาประมาณ 5-7 เดือน
นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้ลดความเข้มข้นของการกำกับดูแลบริษัท เพื่อเอื้อให้บริษัท SMEs และสตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำหรับผู้ลงทุนก็จะสูงขึ้น ทำให้ตลาดหลักทรัพย์จะเน้นการกำกับดูแลในส่วนของผู้ลงทุนแทน
หัวใจสำคัญของบริษัทที่จะต้องการเข้าจดทะเบียนใน LiVEx ต้องเป็นบริษัทที่ผ่านการระดมทุนหลังซีรีส์ A เป็นอย่างน้อย และสามารถเปิดเผยข้อมูลบริษัทพร้อมทั้งตอบข้อสงสัยของผู้ลงทุนได้ครบถ้วน
ประพันธ์กล่าวต่อว่า หลังจากการเข้าจดทะเบียนของ AWS22 คาดว่าปีนี้จะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนใน LiVEx อีก 2 บริษัท แบ่งเป็นธุรกิจไอซีที 1 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูก Spin Off ออกมาจากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่อีกบริษัทอยู่ในธุรกิจพลังงาน ส่วนปี 2565 คาดว่าจะมี SMEs และสตาร์ทอัพเข้ามาลิสต์ในตลาดรวม 5 บริษัท อยู่ในธุรกิจไอซีที 2 แห่ง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง 1 แห่ง ธุรกิจอาหาร 1 แห่ง และธุรกิจขนส่ง 1 แห่ง
“LiVEx เกิดมาเพื่อคนตัวเล็กที่ยังไม่พร้อมเรื่องทุนและระบบต่างๆ แต่ไม่ได้เจาะจงที่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เราต้องการจะสนับสนุนให้ SMEs และสตาร์ทอัพไปต่อได้”
สำหรับความคาดหวังต่อบริษัทใน LiVEx ตลาดหลักทรัพย์อยากจะเห็นทุกบริษัทเติบโตไประดมทุนต่อได้ใน SET หรือ mai เพราะฉะนั้นจึงคาดหวังว่าภายใน 2-3 ปี หรือช้าที่สุด 4 ปี บริษัทเหล่านี้ก็ควรจะเติบโตต่อ
นอกจากการเป็นช่องทางของการระดมทุนแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ LiVE Academy ที่เป็นโครงการพัฒนาผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นช่องทางในการเรียนรู้เพื่อยกระดับบริษัทให้มีความพร้อมที่จะเข้าตลาดทุน
ในมุมของผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ได้จำกัดกลุ่มนักลงทุนที่จะสามารถลงทุนใน LiVEx แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ ผู้ลงทุนสถาบัน, ผู้ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญ, บุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท และผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ
“ต้องยอมรับการลงทุนใน LiVEx มีความเสี่ยงสูงกว่า SET และ mai โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่อง เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนอาจมีจำนวนน้อยมาก และเพื่อ Balance ความเสี่ยง จึงต้องจำกัดนักลงทุนแค่เพียงบางกลุ่ม”