เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาแบรนด์เครื่องประดับและนาฬิกาอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง BVLGARI ตอกย้ำว่าประเทศไทยได้ก้าวมาเป็นตัวแปรสำคัญที่ถูกจับตามองมากสุด ณ เวลานี้ ที่กำลังขับเคลื่อนวงการลักชัวรีอย่างมหาศาลด้วยการจัดงานใหญ่ฉลองคอลเล็กชัน BVLGARI Tubogas ในรูปแบบดินเนอร์ Immersive ณ SPHERE HALL ห้าง EMSPHERE โดยงานนี้เป็นครั้งแรกที่ LISA มางานของ BVLGARI ที่ประเทศไทยในฐานะ Global Brand Ambassador คนสำคัญ พร้อมกับยังมีอีกสอง Friend of the House ของ BVLGARI อย่าง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง มาร่วมด้วย
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มงาน THE STANDARD POP มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษกับซีอีโอชาวฝรั่งเศสที่มากเสน่ห์และเป็นกันเองของ BVLGARI อย่าง Jean-Christophe Babin ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้มาเกินหนึ่งทศวรรษแล้ว โดยเราพูดกับเขาหลากหลายประเด็น ทั้งบทบาทและอิทธิพลของ LISA ที่มีต่อแบรนด์ โอกาสที่แบรนด์จะมาเป็น BVLGARI Hotel ที่ไทย และคำแนะนำที่เขามีต่อคนที่วันหนึ่งอยากก้าวมาเป็นซีอีโอในองค์กรระดับโลกอย่างเขา
Jean-Christophe Babin ที่งาน BVLGARI: Eden The Garden of Wonders
ขอ 3 คำสำหรับแบรนด์ BVLGARI ในปี 2024
High-End, Serpenti และ Yellow Gold
ทำไมถึงเลือก 3 คำนี้
สำหรับคำว่า High-End นั้น ในทุกๆ กลุ่มสินค้าที่เราทำธุรกิจกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ นาฬิกา กระเป๋า หรือเครื่องหอม คือกลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงและมีกำลังซื้อที่ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุดเท่าที่พวกเขาจะซื้อได้
ส่วน Serpenti เป็นไลน์สินค้าที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เริ่มต้นจากการทำนาฬิกาและขยายไปสู่เครื่องประดับเมื่อ 12 ปีก่อน โดยเริ่มจากชิ้นเล็กๆ และพัฒนาเป็นสินค้าที่มีราคาตั้งแต่ 3,000 ยูโรไปจนถึง 3 ล้านยูโร สัญลักษณ์งูของ Serpenti สื่อถึงการเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง มอบโอกาสให้กับนักออกแบบได้สร้างสรรค์งานใหม่ๆ ไม่รู้จบ ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับลูกค้าอยู่เสมอ
สุดท้ายคือ Yellow Gold หรือทองคำสีเหลือง เดิมทีนิยมในอเมริกาและยุโรปบางส่วน แต่ปีนี้เราเห็นความต้องการเพิ่มเยอะขึ้นในเอเชียเช่นกัน เห็นได้จากคอลเล็กชัน Tubogas, Cabochon, Serpenti, B.zero1 และ Divas’ Dream โดยเฉพาะรุ่นสีทองที่ได้รับความนิยมมากขึ้น
Jean-Christophe Babin, ลิเดีย-ศรัณย์รัชต์ ดีน และ มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง ที่งาน BVLGARI Tubogas ณ SPHERE HALL ห้าง EMSPHERE
ถ้าพูดถึงเรื่องตลาดในประเทศไทย คุณมองว่าตลาดในไทยมีความสำคัญต่อ BVLGARI มากน้อยแค่ไหน
ตลาดไทยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หรือหลังโควิด ถือว่าเติบโตได้น่าประทับใจมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย ถึงขั้นที่ปีที่แล้วตลาดในไทยยอดขายเติบโตจนเทียบเท่ากับสิงคโปร์ที่ปกติเป็นตลาดมาตรฐานของภูมิภาคนี้ โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากเครื่องประดับไฮเอนด์เป็นหลัก แม้ว่าจะไม่สามารถคาดการณ์ยอดขายที่สูงทุกปีได้ เนื่องจากบางปีราคาอาจสูง บางปีอาจราคาถูกลงนิดหน่อย ยอดขายอาจเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไปก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากมองตัวเลขภาพรวมของธุรกิจในไทยวันนี้ก็มาจากกลุ่มลูกค้าคนไทยมากกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นข่าวดี เพราะแสดงให้เห็นถึงความต้องการและความนิยมของแบรนด์ BVLGARI ในกลุ่มคนไทย เช่นเดียวกับตลาดในประเทศอื่น เช่น อเมริกาและญี่ปุ่น ที่ลูกค้าในประเทศนั้นๆ สนับสนุนแบรนด์ในพื้นที่ของตัวเอง และแน่นอนว่านักท่องเที่ยวในปี 2023 ยังไม่กลับมาดีเท่ากับปี 2019 แต่ก็เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในปี 2025 เราคาดว่าตลาดไทยจะยังคงเติบโตจากฐานลูกค้าชาวไทย แต่ในขณะเดียวกันเราก็คาดว่าจะมีการเติบโตจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะจะมีเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากจีน อีกทั้งยังมีนโยบายยกเว้นวีซ่าระหว่างจีนกับไทย ที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวจีนนั้นเข้ามาที่ไทยมากขึ้น
ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ไม่ว่าจะด้วยวัฒนธรรม อาหาร และระยะทางที่ไม่ไกลเกินไป หลังโควิดเราจะเห็นนักท่องเที่ยวจีนลดการเดินทางไปยังที่ไกลๆ เช่น สหรัฐฯ หรือยุโรป เพราะค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลาเดินทางนาน พวกเขาจึงเลือกจะเดินทางในระยะใกล้ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หรือไทย ในระยะการเดินทางประมาณ 2-4 ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 10-12 ชั่วโมง ช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการเดินทาง ทำให้วันหยุดของพวกเขากระชับขึ้น การเลือกเดินทางมาประเทศใกล้ๆ จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาดไทยในอนาคตด้วย
ประเทศไทยตอนนี้มีโรงแรมระดับหรูมากมาย และ BVLGARI เองก็มีโรงแรมด้วยเช่นกัน ซึ่งในอนาคตคุณคิดว่ามีโอกาสไหมที่จะมาเปิดในกรุงเทพฯ ภูเก็ต หรือเกาะสมุย
จริงๆ เรามีรีสอร์ตให้พักผ่อนอยู่ที่บาหลี และในปี 2026 เราจะเปิดอีกที่ที่มัลดีฟส์ ซึ่งจะเป็นรีสอร์ตที่สองในเครือกลุ่มโรงแรมของเรา แต่โรงแรมของเราส่วนใหญ่มักจะอยู่ในตัวเมืองมากกว่า หากเราจะเปิดโรงแรมในประเทศไทย กรุงเทพฯ น่าจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุด เพราะเป็นศูนย์กลางการเดินทาง ทุกคนมักจะแวะที่กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปยังที่อื่นๆ ในประเทศไทย แต่ในระยะสั้นนี้ เรายังไม่มีแผนที่จะเปิดโรงแรมในไทย เนื่องจากปัจจุบันเรากำลังลงทุนกับโครงการก่อสร้างในไมอามี มัลดีฟส์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมาดริด ดังนั้นหากจะมีโอกาสเปิดโรงแรมในประเทศไทยก็คงเป็นช่วงปี 2030 มากกว่า เพราะปัจจุบันนี้เราเปิดโรงแรมได้ 20 ปีแล้ว เรามีโรงแรมทั้งหมด 9 แห่ง หมายความว่าเราเปิดโรงแรมเฉลี่ยประมาณ 1 แห่งทุกๆ 2 ปี และอีก 3-4 แห่งที่กำลังจะเปิดในอนาคตใน 5-6 ปีข้างหน้า ดังนั้นเราคาดว่าจะมีโรงแรมทั้งหมด 29-30 แห่งภายในปี 2030 ตามแผนที่วางไว้
หนึ่งในแขกสำคัญของงานคืนนี้คือแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกของคุณอย่าง LISA เธอมีความสำคัญต่อแบรนด์ BVLGARI อย่างไร
แน่นอนว่า LISA เป็นศิลปิน เช่นเดียวกับแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกคนอื่นๆ ของเรา และนี่คือจุดเชื่อมโยง เพราะ BVLGARI เป็นแบรนด์ที่เกิดจากศิลปะและสถาปัตยกรรมในกรุงโรม เราชื่นชอบการทำงานร่วมกับศิลปิน โดยในอดีตเรามักร่วมงานกับดาราภาพยนตร์ ในช่วงปี 1950 และ 1960 ชื่อเสียงของ BVLGARI เติบโตจากการที่ฮอลลีวูดมาใช้ Rome Studios ใน Cinecittà ถ่ายทำภาพยนตร์ใหญ่ๆ กลายเป็นความเชื่อมต่อกันทางศิลปะร่วมสมัยกับเหล่าดาราภาพยนตร์
LISA เองแม้จะไม่ใช่นักแสดงภาพยนตร์ ซึ่งในอนาคตเธออาจเป็นก็ได้ แต่เธอเป็นศิลปินเพลงที่เผยแพร่ความหลากหลายทางศิลปะ อีกทั้งเธอยังเด็กกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มแอมบาสเดอร์ของเรา จึงสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมใหม่ๆ ทั้งในเอเชียและตะวันตก เพราะเธอเป็นที่รู้จักทั่วโลก
LISA รู้จักกับ Zendaya อีกทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์กับคนรุ่นใหม่ ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาอาจยังไม่สามารถซื้อสินค้าของ BVLGARI ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงวัยเรียนหรือเริ่มต้นทำงาน แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างภาพจำของ BVLGARI ไว้ในใจพวกเขา เพื่อที่ในอนาคตเมื่อมีโอกาสสำคัญ เช่น การแต่งงานหรือการเลื่อนตำแหน่ง พวกเขาจะนึกถึง BVLGARI และเลือกที่จะเป็นเจ้าของสักชิ้นหรือเลือกให้คนสำคัญในอนาคตก็ได้
ดังนั้น LISA จึงมีความสำคัญมาก เพราะ LISA ช่วยสร้างอนาคตของแบรนด์เรา และช่วยให้ BVLGARI ยังคงอยู่ในใจของคนรุ่นใหม่ไปทั่วโลกด้วย
ในอนาคต คุณอยากจะร่วมงานกับ LISA ในด้านไหนอีกบ้าง
การทำงานร่วมกับ LISA จนถึงตอนนี้ไปได้สวย เริ่มต้นจากในประเทศเกาหลีใต้ และขยายออกไปในระดับโลก ผมมองว่าเธอเป็นส่วนเติมเต็มให้กับแอมบาสเดอร์คนอื่นๆ ที่เราทำงานร่วมด้วย และเป็นตัวแทนของความหลากหลายและการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของ BVLGARI เรามีแอมบาสเดอร์จากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ไทย แอฟริกัน-อเมริกัน อเมริกัน และอินเดีย สะท้อนว่าเราเป็นแบรนด์ที่มีความเป็นสากลและเปิดรับทุกวัฒนธรรม เหมือนกับชาวโรมันในยุคจักรวรรดิโรมันที่เปิดรับวัฒนธรรมจากหลากหลายพื้นที่
ตัวอย่างหนึ่งของความหลากหลายนี้อาจเห็นได้ในภาพยนตร์ Gladiator II ในเรื่องมีตัวละครชาวแอฟริกัน Macrinus ที่ได้แสดงบทบาทสำคัญ แม้ว่าในภาพยนตร์เขาจะไม่ได้เป็นตัวเอก แต่ในชีวิตจริงเขาประสบความสำเร็จ เขาเติบโตจากคนธรรมดาจนกลายเป็นผู้นำ นี่เป็นสิ่งที่สื่อถึงคุณค่าของ BVLGARI ที่นำวัฒนธรรมและแรงบันดาลใจจากหลากหลายพื้นที่มาผสมผสานให้ดียิ่งขึ้น
ในอนาคตเราตั้งใจที่จะสานต่อแนวทางนี้ผ่านการทำงานร่วมกับแอมบาสเดอร์ของเรา รวมถึง LISA เพื่อสะท้อนถึงความเป็นสากลของ BVLGARI และตอกย้ำความเป็นแบรนด์เครื่องประดับระดับไฮเอนด์ที่ครอบคลุมทุกวัฒนธรรม และเราหวังว่าจะขยายบทบาทเหล่านี้ให้เติบโตขึ้นไปอีกในอนาคต
บน: งาน BVLGARI Tubogas ณ SPHERE HALL ห้าง EMSPHERE
ล่าง: ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง สอง Friend of BVLGARI
ปีหน้า BVLGARI มีแผนจะพัฒนาหรือขยายผลิตภัณฑ์ใดบ้าง
ค่ำคืนนี้เรากำลังเฉลิมฉลองผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดอยู่ นั่นก็คือ BVLGARI Tubogas ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอของ BVLGARI มาหลายสิบปีแล้วครับ แต่เดิมมักจะอยู่ในกลุ่มสินค้าระดับไฮเอนด์ และเปิดตัวในโอกาสพิเศษเท่านั้น แต่ข่าวดีคือเรากำลังขยายฐานผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์นี้ให้เข้าถึงได้กว้างขึ้น เช่น สร้อยข้อมือราคา 78,000 ยูโร ซึ่งถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา เพราะก่อนหน้านี้ Tubogas มีราคาสูงกว่านี้มากครับ
ตอนนี้ Tubogas กลายเป็นคอลเล็กชันเต็มรูปแบบ ไม่ได้มีแค่สร้อยคอเท่านั้น แต่ยังมีสร้อยข้อมือ และเพิ่มหมวดย่อยอื่นๆ อย่างแหวนอีกด้วยครับ โดยผลิตภัณฑ์ได้รับการออกแบบใหม่ ไม่ใช่การทำซ้ำแบบเดิม แต่เป็นการพัฒนาให้ก้าวล้ำกว่าเดิมในแง่ของงานฝีมือ ความยืดหยุ่น และความรู้สึกสบายเวลาสวมใส่ ไม่ใช่แค่ดูสวยงาม แต่ยังให้ความรู้สึกสบายและเซ็กซี่มากขึ้น
นี่เป็นงานที่สำคัญมาก เราเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้มียอดขายเพียง 4 เดือน แต่ในปีหน้าเราจะได้เห็นผลลัพธ์จากการทำโฆษณาและการขยายคอลเล็กชันให้หลากหลายยิ่งขึ้น และ Tubogas จะกลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในปี 2025 อย่างแน่นอน
ปีนี้ BVLGARI ขยายไลน์กระเป๋าด้วยใช่ไหม
เราพัฒนาไลน์กระเป๋าของเราอย่างก้าวกระโดด ด้วยการมาของ Mary Katrantzou เธอมีแบรนด์ของตัวเอง และในฐานะนักออกแบบแฟชั่น เธอสามารถสร้างสรรค์ความสวยงามของชุดเดรสที่เข้าคู่กับเครื่องประดับและกระเป๋าได้อย่างลงตัว Mary มีความตั้งใจและกระตือรือร้นที่จะร่วมงานกับ BVLGARI มากๆ และเราเคยทำงานร่วมกับเธอมาก่อนในแคปซูลคอลเล็กชันเมื่อ 4-5 ปีก่อน ซึ่งค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมาก
ตอนนี้เธอทำงานกับ BVLGARI ในตำแหน่งอาร์ตไดเรกเตอร์ และการเปิดตัวคอลเล็กชันแรกของเธอได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนขายหมดแล้ว งานออกแบบนี้มีความโดดเด่นด้วยความประณีต ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากคอลเล็กชัน Divas’ Dream และได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่เราเปิดตัวมา
โปรเจกต์นี้ยังใหม่มาก เพราะเพิ่งเปิดตัวในงานที่ปารีสเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่มันแสดงถึงศักยภาพในอนาคต แม้จะผ่านไปเพียงสองเดือน แต่ผลงานของเธอสร้างความแข็งแกร่งให้กับอนาคตแล้ว และเราคาดว่ากระเป๋าของ BVLGARI จะเติบโตและพัฒนาไปพร้อมกับเครื่องประดับของเราในอนาคต
Jean-Christophe Babin ที่สนามกีฬา Stadio dei Marmi
คุณทำงานกับ BVLGARI มานานถึง 11-12 ปีแล้วใช่ไหม
ใช่ครับ ผมทำงานกับแบรนด์นี้มาประมาณ 11-12 ปีแล้วครับ
อะไรที่ทำให้คุณมีแรงจูงใจในการทำงานทุกวันในฐานะซีอีโอของ BVLGARI
การทำงานให้กับ BVLGARI เหมือนกับการทำงานในโลกแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ เพราะเราเป็นแบรนด์ที่มีรากฐานจากกรุงโรม การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 27 ศตวรรษ เต็มไปด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรม ทำให้ทุกวันเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจ ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโรมันที่อยู่มาถึง 2,700 ปีในโลกศิลปะและประวัติศาสตร์ และศิลปะพวกนี้ก็ได้อยู่ในเครื่องประดับของเราด้วยครับ ตัวอย่างเช่น คอลเล็กชัน Serpenti ได้รับแรงบันดาลใจจากงูที่ถูกนำเข้ามายังกรุงโรมจากอียิปต์พร้อมกับพระนางคลีโอพัตรา หรือ B.zero1 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากโรงละครที่โด่งดังที่สุดในยุคโบราณ
นอกจากนี้การทำงานที่ BVLGARI ยังมีความน่าสนใจในมิติของศิลปะและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่อีกด้วย ยกตัวอย่าง เมื่อสองวันก่อน ผมไปที่พิพิธภัณฑ์ MAXXI ซึ่งเป็นศูนย์รวมศิลปะสมัยใหม่ที่ล้ำสมัยที่สุดในยุโรป เราเป็นพันธมิตรหลักของพิพิธภัณฑ์นี้ และเราจัดแสดงนิทรรศการแฟชั่นที่ผสมผสานแฟชั่นฝรั่งเศสและอิตาลีเข้ากับเครื่องประดับจาก BVLGARI สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้เราจะไม่ใช่แบรนด์แฟชั่นเต็มตัว แต่เราก็ทำงานด้านแฟชั่นอย่างสุดความสามารถ เพราะเครื่องประดับช่วยเสริมแฟชั่น และแฟชั่นก็ช่วยส่งเสริมเครื่องประดับด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เรายังเป็นผู้ผลิตนาฬิกาที่จะเข้าคู่กับเครื่องประดับของเรา ฮิตมากในกลุ่มสุภาพสตรี ดังนั้นคอลเล็กชัน Tubogas ของเราจึงประสบความสำเร็จมากๆ ในลูกค้ากลุ่มนี้ครับ ส่วนกระเป๋าก็เหมือนก้าวเข้าสู่โลกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างแฟชั่นและความหรูหรา และน้ำหอมคือโลกของความเย้ายวน ความรู้สึก และความผ่อนคลาย ที่ร้านของเรามีน้ำหอมดีๆ ให้เลือกถึง 4 แบบด้วยกัน
สุดท้ายคือการบริการโรงแรม ซึ่งเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างออกไปเลย ซึ่งเราพยายามนำประสบการณ์ที่ดีเข้ามาในร้านของเรา เพราะการบริการลูกค้าเป็นเรื่องของทัศนคติ ความใส่ใจ และความเคารพ
ความหลากหลายในการทำงานและการรายล้อมไปด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งและมีแรงบันดาลใจในการทำงานทุกวัน ทำให้การทำงานของผมในตำแหน่งซีอีโอไม่ใช่เป็นเพียงเพราะหน้าที่ ผมไม่ถือว่านี่เป็นงานที่เหนื่อยเลย แต่มันเป็นความสุขที่ได้ทำมากกว่า
Jean-Christophe Babin ที่งานหนังสือ Treasures of Rome ของ BVLGARI
แต่จากที่คุณเล่ามา คุณดูยุ่งมากกับงาน ผมเลยสงสัยว่าคุณจัดการเวลางานและชีวิตส่วนตัวกับครอบครัวอย่างไร
สิ่งแรกที่ผมพยายามทำให้ได้มากที่สุดคือการให้เวลากับครอบครัวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ถึงแม้ว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ผมไม่ได้ทำตามนั้น แต่โดยปกติแล้วผมจะไม่รับงานในช่วงสุดสัปดาห์ เพราะต้องการจะใช้เวลาอยู่กับภรรยาและครอบครัว
ผมมักจะเดินทางกลับสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะมาจากจีนหรือโรมในทุกวันศุกร์หรือเสาร์ และบางครั้งก็ไปที่วิลล่าของเราที่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มันเป็นที่ที่เงียบสงบที่ช่วยตัดขาดจากโลกแห่งความหรูหราได้ มีแต่หมู่บ้านเล็กๆ น่ารัก ไม่ใช่หมู่บ้านหรูหราอะไร
การได้อยู่กับเพื่อนและครอบครัวในบรรยากาศแบบนี้ถือเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก ถ้ามีโอกาสผมก็จะเล่นกีฬาด้วย ที่สวิตเซอร์แลนด์และทางใต้ของฝรั่งเศสเป็นสถานที่ที่ดีมากๆ เพราะอยู่ติดริมทะเลสาบ อีกที่ก็อยู่ริมทะเล ผมเลยคุ้นเคยกับกีฬาทางน้ำเกือบจะทุกประเภทเลย ในช่วงฤดูหนาว ถ้ายังอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ก็จะไปเล่นสกีกัน เพราะใช้เวลาขับรถไม่เกินหนึ่งชั่วโมงจากที่พักก็ถึงเทือกเขาแล้วครับ มันดีมากๆ ครับ สะดวกมากจนบางทีเช้าวันเสาร์ผมสามารถตัดสินใจได้ง่ายๆ เลยว่าจะไปเล่นสกีดีไหม โดยที่ไม่ต้องวางแผนอะไรล่วงหน้าเลย
ทั้งหมดนี้คือวิธีที่ผมหาสมดุลในชีวิตของผม มันช่วยให้ชีวิตส่วนตัวและงานของผมสมดุล อีกทั้งยังเพิ่มสีสันให้กับชีวิตด้วย และงานที่ผมทำอยู่ก็เป็นสิ่งที่ผมรักมากในชีวิตเช่นกัน จึงทำให้ทุกอย่างมันสนุกและไปต่อได้เรื่อยๆ ครับ
ขอคำแนะนำให้กับคนรุ่นใหม่ที่มีแรงบันดาลอยากเป็นซีอีโอในสักวันหนึ่งได้ไหม
อันดับแรก ผมอยากแนะนำว่า อย่าทำเพียงเพราะอยากเป็นซีอีโอ คุณควรทำเพราะคุณรักในสิ่งนั้นจริงๆ การที่มีความหลงใหลในงานที่ทำอาจทำให้คุณมีโอกาสแสดงความสามารถ นำเสนอไอเดียใหม่ๆ และได้รับผิดชอบในบทบาทต่างๆ มันอาจนำคุณไปสู่ตำแหน่งซีอีโอในวันหนึ่งได้ แต่การตั้งเป้าหมายแค่เพื่อเป็นซีอีโอนั้นไม่ควรเป็นจุดเริ่มต้น เป้าหมายที่แท้จริงควรเป็นการทำในสิ่งที่คุณรักและเชื่อมั่นในตัวเอง สำหรับบางคนอาจเป็นงานด้านเครื่องประดับ สำหรับคนอื่นอาจเป็นงานด้านศิลปะ อุตสาหกรรมรถยนต์ หรือการสร้างบ้าน อะไรก็ตามที่คุณรัก และถ้าคุณทำได้ดี คนอื่นจะเห็นและสนับสนุนคุณเอง มันอาจทำให้คุณเติบโตไปสู่จุดที่คุณเองก็อาจคาดไม่ถึงเช่นกัน
อย่างที่สอง อย่าหมกมุ่นกับความก้าวหน้าในอาชีพจนเกินไป คุณควรหมกมุ่นในการทำสิ่งที่เชื่อมั่นว่ามันจะเป็นไปได้ ให้ทำงานอย่างซื่อสัตย์ต่อตัวเองและเพื่อนร่วมงาน แสดงความคิดของคุณอย่างจริงใจและอ่อนน้อม พร้อมที่จะเรียนรู้จากผู้อื่น
หากคุณทำ 2 สิ่งนี้ได้ คุณก็มีโอกาสที่จะได้รับการยอมรับในการเป็นผู้นำมากขึ้น และเมื่อคุณได้เป็นผู้นำ คุณก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะได้เป็น General Management หรือซีอีโอในอนาคต หากแต่ต้องแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำออกมาเท่านั้นเอง
Jean-Christophe Babin ที่เปิดตัวคอลเล็กชันเครื่องประดับชั้นสูง Aeterna ของ BVLGARI ณ กรุงโรม
ภาพ: BVLGARI