เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ ‘เดนทิสเต้’ ปรับกลยุทธ์พรีเซนเตอร์จากคู่รักเป็น ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ มานั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งปรากฏว่ายอดขายเติบโตราว 15% แม้อยู่ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโควิด
ความสำเร็จดังกล่าวทำให้เดนทิสเต้ตัดสินใจต่อสัญญาต่ออีก 1 ปี แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินค่าตัวเพิ่มอีกนับ 100% ก็ตาม อันเนื่องมาจากความดังที่เพิ่มขึ้นของลิซ่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เดนทิสเต้ คว้า ‘ลิซ่า BLACKPINK’ นั่งแท่นแบรนด์แอมบาสเดอร์ หวังเจาะลูกค้า Gen Z และ Gen Y
- Lisa Effect: จาก Celine ถึงพลาญชัยหมูกระทะ เจาะปรากฏการณ์จับอะไรก็ ‘ปัง’ ของ ‘ลิซ่า BLACKPINK’
- อาจไม่ใช่ True! บริษัทแม่ปรับนโยบายการรับพรีเซ็นเตอร์ของ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ จะรับเฉพาะแคมเปญระดับ Global หรือ Regional เท่านั้น
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวที่อยู่ในแวดวงเอเจนซีให้ข้อมูลกับ THE STANDARD WEALTH ว่า หากต้องการจ้างลิซ่ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ จะอยู่ที่ประมาณ 1-2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 34-67 ล้านบาท ซึ่งเป็นแค่ ‘ค่าตัว’ ยังไม่รวมรายจ่ายอื่นๆ อีก
ซึ่งแปลว่ารอบนี้เดนทิสเต้อาจจะต้อง ‘ควักเงิน’ นับ 100 ล้านบาทสำหรับการต่อสัญญาลิซ่า ซึ่งครอบคลุมทั้งค่าตัวและกิจกรรมอื่นๆ แต่กระนั้นนี่อาจเป็นการใช้งบที่คุ้มค่าแล้วก็ได้เมื่อมองจากรายได้ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ‘แบรนดิ้ง’ ที่จะได้รับกลับมาจากแฟนๆ ของลิซ่าทั่วโลก
ปัจจุบันนั้นเดนทิสเต้เองก็ทำตลาดอยู่ใน 25 ประเทศทั่วโลก และยังมีแผนที่จะตั้งสำนักงานที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
“การต่อสัญญาในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีหลายแบรนด์ที่ติดต่อลิซ่าให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ แต่มีไม่ถึง 10 แบรนด์ที่ลิซ่าเลือก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเดนทิสเต้” ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากเดนทิสเต้กล่าว
การได้ลิซ่ามาร่วมงานอีกครั้ง เดนทิสเต้ตั้งเป้ายอดขายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 10% ซึ่งข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์พบว่า ปี 2564 บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด มีรายได้รวม 2.4 พันล้านบาท เติบโต 17.71% และมีกำไร 73 ล้านบาท ลดลง 12.92%
สำหรับรายได้ที่เติบโตจะมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้แบรนด์แข็งแกร่งขึ้น เช่น ยาสีฟันเม็ด, น้ำยาบ้วนปากที่สามารถแปรงฟันได้, เจลสำหรับเคลือบฟัน ลดการสึกของเคลือบฟันชั้นนอก ตลอดจนการเปิดตัวยาสีฟันหลอดละ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 36,000 บาท และอื่นๆ อีกมากมาย
ปัจจุบันเดนทิสเต้มีส่วนแบ่งการตลาด 7% ในตลาดรวม แต่หากเจาะเข้าไปเฉพาะตลาดพรีเมียมจะมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 85%