ทั้งที่เสื้อผ้าแน่นตู้ แต่ทำไมยังรู้สึกว่า ‘ไม่มีอะไรจะใส่’ นั่นอาจเป็นเพราะคุณมี
เสื้อผ้ามากเกินความจำเป็น หรือไม่ตรงตามสไตล์ของตัวเองจริง ๆ
พฤติกรรมการซื้อเสื้อผ้าตามเทรนด์ ตามคนรอบตัว หรือเพื่อสร้างการยอมรับ ทำให้เสื้อผ้าหลายชิ้นไม่เคยถูกหยิบมาใส่ บางชิ้นใส่เพียง 2-3 ครั้งก็ถูกพับเก็บไว้ลึกที่สุดของตู้เสื้อผ้า ขณะเดียวกันระบบการสั่งซื้อที่รวดเร็ว และกระบวนการผลิตที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณค่า ทำให้ Fast Fashion กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าเพียงหนึ่งชิ้นต้องผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้ทรัพยากรน้ำจำนวนมาก และปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล โดยข้อมูลจาก UNFCCC ระบุไว้ว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นปล่อยคาร์บอนมากกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกันเลยทีเดียว
ใน Eco-Curious: Habit Hacks ตอนนี้ เราจึงอยากชวนพูดคุยกับ ‘อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี’ นักออกแบบที่ยืนหยัดบนแนวคิด Sustainable Fashion และเป็นผู้ขับเคลื่อนกลุ่ม Fashion Revolution Thailand ชวนทบทวนผลกระทบของการซื้อเสื้อผ้าต่อโลก แจกทริกการเลือกเสื้อผ้าและวิธีใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อสร้าง Living Quality ของชีวิต
ผ่านการเลือกเสื้อผ้าที่มีความหมายต่อเราและโลก
ดูรายการเต็มได้ที่: LINK


Who is ‘อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี’
อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี เป็นนักออกแบบที่หลายคนคุ้นตาในฐานะ ‘ผู้ขับเคลื่อนแนวคิด Sustainable Fashion’ ด้วยความจริงจังและแววตาที่มุ่งมั่น เธอเป็นหนึ่งในผู้ประสานงานของ Fashion Revolution Thailand และจัดกิจกรรมเพื่อชวนสังคมตั้งคำถามและเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องแฟชั่นมาโดยตลอด
จากประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรมแฟชั่น อุ้งได้เห็นผลกระทบของการผลิตและการบริโภคเสื้อผ้าที่มาไวไปไว
จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามต่อเบื้องหลังของเสื้อผ้าแต่ละชิ้น และนำไปสู่การเปลี่ยนบทบาทของเธอในวันนี้ จากนักออกแบบ สู่ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในวงการแฟชั่นอย่างจริงจัง
“พอเรียนจบ เราก็เริ่มทำงานเป็นนักออกแบบ ได้คลุกคลีอยู่ในวงการแฟชั่น และออกแบบเสื้อผ้าจำนวนมาก เราเห็นเสื้อผ้าที่เราทำออกไปกลายเป็น Overstock ถูกนำไปลดราคา หรือบางครั้งก็ถูกทิ้ง ทั้งที่เพิ่งวางขายได้ไม่นาน เราเห็นผลกระทบของ Fast Fashion ที่ส่งผลต่อคน สังคม และวิถีชีวิตในฐานะนักออกแบบ เราไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของ business model แบบนั้น เลยอยากหาวิธีที่ทำให้เราจะยังมีความสุขกับแฟชั่นได้ โดยไม่ต้องเร่งทั้งกระบวนการผลิตและการบริโภค”


อุ้งค้นพบว่า ‘Slow Fashion’ คือการเริ่มตั้งคำถามว่า ใครเป็นคนทำเสื้อผ้าชิ้นนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้เราได้ฉุกคิดถึงกระบวนการผลิตที่ส่งผลต่อเรา สังคมและโลก
และยังช่วยเตือนสติให้เราเริ่มหันมาคิดก่อนเลือกซื้อเสื้อผ้าชิ้นถัดไป
“Fast Fashion คล้ายกับ Fast Food คือผลิตเร็ว ใช้เร็ว และทิ้งอย่างรวดเร็ว โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของผู้ผลิต ผู้ใช้ หรือสิ่งแวดล้อม ส่วน Slow Fashion คือการเริ่มตั้งคำถามว่า ใครเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้านี้ มีกระบวนการผลิตอย่างไร สิ่งเหล่านี้ทำให้การบริโภคของเราช้าลง น้อยลง คิดถึงที่มาที่ไปมากขึ้น ใช้ของได้นานขึ้น และเลือกใช้สิ่งที่ดีขึ้นในระยะยาวจริง ๆ”
Habit Hacks: ทริกจัดตู้ให้ปัง โลกไม่พัง
การรู้กระบวนการผลิตของเสื้อผ้าแต่ละชิ้น ทำให้เราค่อย ๆ มองข้ามความอยากได้ชั่วคราว ไปสู่ ‘ความต้องการของเราอย่างแท้จริง’ ช่วยให้เราไม่เสียเงินซื้อเสื้อผ้ามากเกินความจำเป็น และยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การยกระดับ Living Quality ที่ดีขึ้นในหลายมิติ
วิธีเริ่มต้นง่าย ๆ ที่อุ้งแนะนำ คือ ‘การจัดตู้เสื้อผ้า’ ลองเลือกเสื้อผ้าที่ชอบ ใส่บ่อย และจำเป็นจริง ๆ เพื่อทำความเข้าใจสไตล์ของตัวเอง ต่อมาให้ใช้วิธี Re-style ด้วยการนำเสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วมา Mix and match ใหม่ ถ้าเสื้อผ้าเริ่มเก่าหรือชำรุด ให้ซ่อมแซมก่อนจะตัดสินใจซื้อใหม่

หากจำเป็นต้องใช้เสื้อผ้าเพิ่มเติมจริง ๆ ลองใช้วิธีการแชร์ตู้เสื้อผ้า ยืมคนในครอบครัว แลกกับเพื่อน หรือเข้าร่วมกิจกรรมแชร์เสื้อผ้า ในกรณีที่จำเป็นต้องซื้อใหม่ อยากให้เริ่มจากการซื้อเสื้อผ้ามือสอง แต่ถ้ายังไม่มีแบบที่ถูกใจ ลองพลิกป้ายดูที่มาและกระบวนการผลิตก่อนตัดสินใจซื้อตัวใหม่ เลือกเส้นใยธรรมชาติเพราะปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์น้อยกว่าเส้นใยสังเคราะห์ และเลือกแบรนด์ท้องถิ่นที่ผลิตในประเทศ เพื่อลดมลพิษจากการขนส่ง



อุ้งมองว่าเป็นเรื่องดีที่ปัจจุบันอุตสาหกรรมแฟชั่นก็เริ่มหันมาสนใจโลกมากขึ้น ยกตัวอย่างในยุโรป มีการออกกฎหมายว่าทุกแบรนด์ต้องทำ Digital Product Passport (DPP) เพื่อตรวจสอบที่มาของเสื้อผ้า เรียกว่าเป็น ‘Regenerative fashion’ ที่มองไกลกว่าความยั่งยืน ขยายสู่การฟื้นฟูทรัพยากรที่ถูกทำลายจากการผลิตด้วย
“เมื่อสิบปีก่อน คนจะโฟกัสกันที่ปัญหาขยะเสื้อผ้าซึ่งเป็นเรื่องปลายทาง แต่พอมาถึงวันนี้ เราเริ่มเห็นแบรนด์ใหญ่ ๆ หันมาพูดถึงปัญหาต้นทางมากขึ้น ตั้งแต่เส้นใยที่ใช้ ฝ้ายที่ปลูก วิธีการปลูก ไปจนถึงการดูแลดินและการจัดการน้ำ มันเป็นสัญญาณที่ดีว่าเรากำลังเริ่มมองอุตสาหกรรมแฟชั่นแบบ Holistic หรือมองกันแบบองค์รวมจริง ๆ”

เมื่อเริ่มมองว่าเสื้อผ้าหนึ่งชิ้นมีคุณค่า เราจะพยายามรักษาให้นานที่สุดโดยอัตโนมัติ รวมถึงเลือกอย่างตั้งใจ ทำให้พลังงานและเงินที่เคยหมดไปกับการเลือกซื้อที่รวดเร็ว กลับคืนมาให้เราได้โฟกัสสิ่งที่จำเป็น ทำให้ชีวิตสงบ มีความสุขขึ้น และช่วยเสริมสร้าง Living Quality ที่ดีขึ้นในเวลาเดียวกัน
“เรามี Core value ที่ชัดเจน ทุกการเลือก การซื้อ และการใช้เงิน คือการโหวตว่าเราอยากสนับสนุนอะไร อยากเห็นธุรกิจแบบไหน สิ่งที่เคยสำคัญอย่างเทรนด์ กระแส หรือภาพลักษณ์ จะค่อย ๆ สำคัญน้อยลง เพราะเรามั่นคงจากข้างใน”
อุ้ง-กมลนาถ องค์วรรณดี


