แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2562 ออกมาวันนี้ (2 พ.ค.) โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม) บริษัทมียอดขายรวมที่ 13,270 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 438,000 ล้านบาท กำไรอยู่ที่ 801.25 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 26,400 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 2561
อย่างไรก็ดี แม้ผลประกอบการโดยรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ในช่วงไตรมาสนี้กลับเป็นปีที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ สามารถทำลายสถิติยอดขายและกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแอลจี โดยมีรายรับรวมที่ 4,860 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 1.6 แสนล้านบาท กำไรที่ 647.3 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 21,400 ล้านบาท ส่วนอัตราการเติบโตของยอดขายในยุโรปและเอเชีย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 11%
เมื่อเจาะลึกลงไปที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม แอลจีระบุ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเกาหลีที่มีสัดส่วนการเติบโตของกำไรที่ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วนั้น โดยสินค้าในกลุ่มพรีเมียมนี้ ได้แก่ Styler เครื่องอบผ้า เครื่องฟอกอากาศ และเครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รายได้อยู่ที่ 3,580 ล้านเหรียญ ประมาณ 118,000 ล้านบาท กำไรที่ 308.27 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 10,200 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 3% เป็นผลจากดีมานด์ที่ลดลงและไม่มีการแข่งขันของมหกรรมกีฬาระดับโลก แต่คาดการณ์ว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในปี 2019 ทั้ง OLED TV, NanoCell TV และ Ultra HD TV จอขนาดใหญ่ จะสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายในไตรมาสที่ 2 ได้
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ รายได้ไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,340 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 44,200 ล้านบาท ลดยอดการขาดทุนเหลือ 181.05 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 5,970 พันล้านบาท ผลประกอบการโดยรวมนั้นดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งคาดว่า จะดีขึ้นกว่าเดิมอีกในไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะการย้ายศูนย์การผลิตสมาร์ทโฟนจากเกาหลีไปยังเวียดนาม เพื่อเพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันระดับโลกในช่วงครึ่งปีหลัง
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์มีรายได้ 1,200 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 39,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร มีผลประกอบการรายได้อยู่ที่ 556.58 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไร 49.38 ล้านเหรียญ โตขึ้น 272% จากไตรมาสที่แล้ว แต่ลดลง 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากผลกระทบของภาษีสหรัฐฯ ที่กำหนดการนำเข้าแผงโซลาร์และราคาที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องในตลาดสำคัญหลายแห่งทั่วโลก โดยตั้งเป้าสร้างกำไรต่อเนื่องจากการขยายยอดขายจอแสดงผลพรีเมียมและกลุ่มผลิตภัณฑ์ LED
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล