อีแจมยอง อดีตทนายสิทธิมนุษยชน และนักการเมืองสายก้าวหน้า เข้ารับตำแหน่งท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งนอกและในประเทศ — ความตึงเครียดจากเกาหลีเหนือยังคงรุนแรง ขณะที่ภายในประเทศยังไม่ฟื้นจากบาดแผลทางการเมือง
ส่องนโยบาย ความมั่นคงคู่สมานฉันท์
นโยบายต้นวาระของอีแจมยองพุ่งเป้าไปที่ “การผสานความมั่นคงกับสมานฉันท์” หรือพูดอีกแบบคือ จะปกป้องประเทศ โดยไม่ทำให้ประชาชนรู้สึกถูกทิ้ง เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “สมดุลแห่งยุทธศาสตร์ใหม่”
เริ่มจาก “เอาผิด” เพื่อฟื้นศรัทธา
เหตุการณ์กฎอัยการศึกในเดือนธันวาคม 2024 กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่อีแจมยองเลือกจะไม่ปล่อยผ่าน เขาประกาศว่าจะดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในหลักนิติรัฐ
แต่เสียงวิจารณ์ก็มีว่า การกระทำนี้อาจถูกมองเป็นการล้างแค้นทางการเมืองมากกว่าการเยียวยาสังคม
พร้อมเจรจา แต่ไม่ให้เปล่า
ประธานาธิบดีอีแจมยองกล่าวอย่างชัดเจนว่า “การเจรจากับเปียงยางจะต้องมีเงื่อนไขตอบแทนที่เป็นรูปธรรม”
เขาระบุว่า “ยุคของการพูดคุยเพื่อให้ภาพลักษณ์ทางการทูตผ่านหน้ากล้องจบลงแล้ว“ โดยให้ความสำคัญกับ “Reciprocity” หรือการให้-รับอย่างมีเงื่อนไข
นอกจากนี้ เขายังเสนอรื้อฟื้นข้อตกลงทางทหารระหว่างสองเกาหลีเมื่อปี 2018 ซึ่งเคยถูกระงับในช่วงรัฐบาลก่อนหน้า (โดยเฉพาะในยุคความตึงเครียดหลังปี 2022)
ข้อตกลงนี้เคยช่วยลดการซ้อมรบใกล้แนวแบ่งเขตทหาร และตั้งช่องทางติดต่อระดับทหารอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการลดความเสี่ยงของ “อุบัติเหตุทางการทหาร”
The Korea Herald วิเคราะห์ว่า อีแจมยองไม่ได้ปิดประตูสันติภาพ แต่จะไม่เริ่มต้นจากศูนย์ เขามองว่าเกาหลีเหนือต้องแสดงท่าทีเชิงสร้างสรรค์ก่อนเช่น การหยุดการทดสอบขีปนาวุธ หรือ เปิดช่องทางสื่อสารการทูตบางระดับ ก่อนที่รัฐบาลเกาหลีใต้จะพิจารณามาตรการผ่อนคลายใด ๆ
สัมพันธ์กับพันธมิตรยังแน่นแฟ้น
แม้จะเปิดทางเจรจากับเกาหลีเหนือ แต่รัฐบาลอีแจมยอง ไม่ได้ลดระดับความร่วมมือกับพันธมิตรแต่อย่างใด
ประธานาธิบดีอีแจมยองยังคงสนับสนุนการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ ROK–US Alliance พร้อมทั้งเดินหน้าขยายความร่วมมือไตรภาคีร่วมกับ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง การตอบโต้ภัยไซเบอร์ และการยับยั้งภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ
ขณะเดียวกัน The Diplomat วิเคราะห์ว่า อีแจมยองย้ำถึงจุดยืนเรื่อง “อำนาจตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่เกาหลีใต้ต้องรักษาไว้เอง” โดยเขาไม่ต้องการให้เกาหลีใต้เป็นแค่ผู้ตามในเกมของมหาอำนาจ แต่กระนั้น แม้อีแจมยองจะพยายามวางจุดยืนของเกาหลีใต้ให้มีความเป็นอิสระเชิงยุทธศาสตร์มากขึ้น แต่เขาก็เลือกจะ “ไม่แตะโครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตรเดิม” โดยเฉพาะข้อตกลงด้านความมั่นคง
ลดงบกองทัพ หันไปลงทุนเทคโนโลยีแห่งอนาคต
นโยบายด้านกลาโหมของอีแจมยองเน้น ลดงบบางส่วนจากยุทโธปกรณ์แบบเดิม แล้วหันไปลงทุนในเทคโนโลยี dual-use เช่น AI, โดรน และความมั่นคงทางไซเบอร์
เพื่อให้ระบบป้องกันประเทศเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในประเทศ
เป้าหมายคือ ทำให้ “ความมั่นคง” ไม่ใช่แค่เรื่องทหาร แต่เป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรมและการจ้างงาน
ใช้เศรษฐกิจเป็นพื้นที่สมานฉันท์
อีแจมยองเสนอแนวคิด “Basic Society” — แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข GDP แต่เป็นการเชื่อมเศรษฐกิจกับความเท่าเทียมในสังคม เช่น การสร้างงานในพื้นที่ที่มักถูกมองข้าม การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับภูมิภาค และการส่งเสริมอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่ม
สื่อสารกับทุกกลุ่ม แม้ต้องเสี่ยงเสียฐานเสียง
แม้จะมาจากพรรคเสรีนิยม อีแจมยองก็เลือกสื่อสารด้วยภาษาที่ข้ามฝั่งการเมือง เช่น การตั้งเป้า KOSPI 5,000 จุด หรือการลงทุนในพื้นที่อนุรักษนิยมอย่างคยองซัง เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มรู้สึกว่า “รัฐบาลนี้ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
แต่ขณะเดียวกัน ฐานเสียงเดิมของเขาก็เริ่มตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลใหม่จึงไม่เดินหน้าอย่างจริงจัง กับนโยบาย 2 เรื่องที่เคยเป็นหัวใจของฝ่ายก้าวหน้าในอดีต
- การโอนอำนาจบัญชาการทหาร (OPCON Transfer)
OPCON หมายถึง Operational Control หรืออำนาจบัญชาการทางทหารในกรณีเกิดสงคราม แม้เกาหลีใต้จะมีอธิปไตยทางทหาร แต่หากเกิดสงครามจริง อำนาจบัญชาการหลักยังอยู่ในมือของ กองบัญชาการสหประชาชาติ (United Nations Command) ที่นำโดยสหรัฐฯ
Yonhap รายงานว่า แม้อีแจมยองเคยสนับสนุนการโอน OPCON กลับมาอยู่กับรัฐบาลเกาหลีใต้แต่ภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง เขายังไม่ประกาศกรอบเวลา หรือความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้ และระบุเพียงว่า “จะพิจารณาอย่างรอบคอบ ภายใต้สถานการณ์ความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงเร็ว”
ฐานเสียงเสรีนิยมจึงรู้สึกผิดหวัง เพราะมองว่า การมีอำนาจบัญชาการของตนเองเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีชาติ และควรเร่งรัดให้เกิดผลจริงในยุคที่ผู้นำมีอำนาจเต็มจากเสียงข้างมากในสภา
- ระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD
THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) เป็นระบบป้องกันขีปนาวุธที่สหรัฐฯ ติดตั้งในเกาหลีใต้ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเคยก่อให้เกิดความตึงเครียดกับจีน และการประท้วงในประเทศ
Brookings Institution วิเคราะห์ว่า แม้ฝ่ายก้าวหน้าจะเคยออกมาคัดค้านการติดตั้ง THAAD โดยให้เหตุผลเรื่องการยั่วยุจีน และกระทบความสัมพันธ์ในภูมิภาค แต่อีแจมยองในฐานะประธานาธิบดีกลับ เลือกไม่แตะประเด็นนี้อย่างชัดเจน และยังคงสถานะของระบบ THAAD ไว้ตามเดิม โดยให้เหตุผลว่าเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือไตรภาคีกับสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น
จึงเกิดคำถามจากกลุ่มสนับสนุนเดิมว่า เหตุใดจุดยืนเชิงนโยบายของอีแจมยองจึงอ่อนลงในประเด็นที่เคยมีจุดยืนชัดเจน? และนี่คืออีกหนึ่งจุดสะท้อน “ความตึงเครียดภายใน” ที่เขาต้องจัดการ
บทสรุป
ในโลกที่ความตึงเครียดระดับภูมิภาคกลับมาอีกครั้ง ในประเทศที่ประชาชนยังไม่ลืมบาดแผลจากการใช้อำนาจในอดีต อีแจมยองกำลังเดิมพันกับแนวคิดใหม่ว่า “ความมั่นคง” กับ “สมานฉันท์” ไม่จำเป็นต้องสวนทางกัน
แต่เขาจะพิสูจน์สิ่งนี้ได้จริงหรือไม่? เพราะยังต้องเผชิญทั้งแรงกดดันจากภายนอก ความไม่ไว้วางใจภายใน และความท้าทายของนโยบายที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนในระยะสั้น
อ้างอิง: