ถ้าถามว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น และเราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ก็คงเหมือนกับการให้เราย้อนไปถามตัวเราเองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ว่าเราจะจินตนาการเพื่อเตรียมตัวกับโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างไร
มันยากมากที่จะมั่นใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอีก 10-20 ปีข้างหน้า แต่เราก็สามารถคาดการณ์อนาคตได้คร่าวๆ จากเหตุปัจจัยในปัจจุบันว่า โลกปัจจุบันของเราจะถูกขับเคลื่อนด้วย 3 กระแสใหญ่
1. กระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization)
ทำให้เส้นแบ่งระหว่างประเทศบางลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนสามารถเดินทางจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์เส้นแบ่งของประเทศกับบริษัทเริ่มบางขึ้นและจางหายไป บางบริษัททำธุรกิจมีคนเป็นจำนวนมากจากทั่วโลกและมีเงินมากกว่างบประมาณของบางประเทศ บางบริษัทเสียภาษีในต่างประเทศมากกว่าในประเทศตัวเอง ซึ่งอาวุธของบริษัทสมัยใหม่คือ ‘เทคโนโลยี’ อันทันสมัย และ ‘เงินทุน’ อันมหาศาล
2. กระแสการพัฒนาเทคโนโลยี (Big Bang of Technology)
กระแสการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วก้าวกระโดด หรือ Big Bang of Technology ตามกฎของมัวร์ (Moore’s law ) บอกว่า ความเร็ว ความจุ ความสามารถในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะดีขึ้น 2 เท่าทุก 2 ปี โดยมีการคาดเดาว่าการเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะทำให้อารยธรรมของมนุษย์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังคาดว่าปี 2040 จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘Singularity’ อันเป็นจุดพลิกประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเพราะปัญญาประดิษฐ์จะเก่งกว่ามนุษย์
3. กระแสความเป็นใหญ่ของเงินทุน (Financialization)
ยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นแกนกลางการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจและสังคม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานของคนสมัยใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว เรากำลังจะเข้าไปสู่ยุคของ IoT: Internet of Things ที่ทุกอยากจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบกลางที่เรียกว่า Cloud
คนส่วนใหญ่จะไม่รู้เลยว่าเทคโนโลยีในโลกสมัยใหม่ทำงานยังไง เทคโนโลยีจะกลายเป็นเหมือนพระเจ้าองค์ใหม่ที่คนบูชาและต้องพึ่งพิง ยุคนี้ที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีหลัก 3 ตัว ได้แก่
- ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- เทคโนโลยีวัสดุนาโน (Nanotechnology)
- เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
โดยคนจะมีอายุมากขึ้น เก่งขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาช่วย ระบบคอมพิวเตอร์จะถูกฝังอยู่ในวัสดุอุปกรณ์เกือบทุกอย่างในชีวิตประจำวันของพวกเรา โดย Financialization หรือ ‘เงิน’ จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโลกสมัยใหม่
การคิดค้นเงินเคยเป็นตัวเปลี่ยนอารยธรรมของมนุษย์ โลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีทางการเงิน ทำให้เงินกลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนโลกในด้านต่างๆ อย่างมากมาย เมื่อก่อนเราต้องทำงานเพื่อแลกเงิน แต่ตอนนี้เงินสามารถสร้างเงินได้โดยไม่ต้องสร้างมูลค่าจริงทางเศรษฐกิจเลย แถมยังเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเงินจะค่อยๆ พัฒนารูปแบบเป็นดิจิทัลมากขึ้น และคนรวยคนจนจะยิ่งมีช่องว่างมากขึ้น
3 กระแสหลักของโลกที่ได้กล่าวมาข้างต้นได้สร้างปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในโลกสมัยใหม่ที่เรียกว่า ‘VUCA’ (วูค่า)
- V: volatility = ความผันผวน รวดเร็วรุนแรง
- U: uncertainty = ความไม่แน่นอน คาดเดาไม่ได้
- C: complexity = ความซับซ้อน เข้าใจยาก
- A: ambiguity = ความกำกวม ไม่ชัดเจน
อาจจะเรียกรวมๆ ว่าการเกิดขึ้นของ ‘Disruption’
สิ่งที่เราเคยเข้าใจ เคยเป็น เคยชิน จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซับซ้อน คาดเดาไม่ได้ มีการตายการเกิดใหม่เป็นจำนวนมากของธุรกิจ การว่างงาน การจัดระเบียบใหม่ทางสังคม
ท่ามกลางโลกอันผันผวน คำถามสำคัญคือ มนุษย์จะอยู่อย่างไร?
‘การศึกษาต้องมาก่อน’ นี่อาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เพราะโลกในวันนี้และวันข้างหน้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
ความรู้และการศึกษาคือสิ่งที่จำเป็นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
แต่เมื่อมองกลับมาที่โลกแห่งความเป็นจริง การศึกษามักจะเป็นเรื่องล้าหลังเมื่อเทียบกับการพัฒนาของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเสมอ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การศึกษาในปัจจุบันคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ตอนเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรมโรงงาน กองทัพต้องการคนจำนวนมากที่มีทักษะการทำงานที่เหมือนๆ กันเข้าทำงาน ผลิตสินค้าเหมือนๆ กันจำนวนมากๆ การศึกษาจึงเน้นสร้างคนให้เหมือนๆ กัน เหมือนกับการผลิตสินค้าในโรงงาน เน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ยึดนโยบายแกนกลางรวมศูนย์ เพื่อสร้างมาตรฐานและปลูกฝังค่านิยมทางสังคมที่ไม่เน้นคำถาม และไม่รับการเปลี่ยนแปลงท้าทาย เน้นการสร้างคนให้รู้เยอะ คิดน้อย เน้นหาคำตอบมากกว่าสร้างคำถาม
พูดได้ว่าการศึกษาสมัยนี้คล้ายๆ ‘การต่อจิ๊กซอว์’ เรามองว่าการศึกษาที่ดีคือการที่เด็กมีตัวต่อทุกตัว ถ้าขาดไปแค่ชิ้นเดียวก็จะถือว่าการต่อจิ๊กซอว์นั้นล้มเหลว เช่น คนที่ได้ 4.00 เก่งกว่าคนที่ได้ 3.00 เป็นต้น
การศึกษาแบบเน้นหาคำตอบที่ถูกต้องเท่านั้น (Right answer) การเรียนเน้นเรียนแบบยัดเยียดเข้าสมอง (Input-based learning) การเรียนข้อมูลความจริง (Fact-based) ซึ่งเน้นการท่องจำ การคำนวณให้ถูกต้อง
หรือแม้กระทั่งการศึกษาที่เน้น 3Rs อันประกอบด้วย Reading , Writing , Arithmetic ( อ่านออก เขียนได้ คำนวณเป็น)
ดูจะกลายเป็น ‘สิ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์’ มากกว่าจะเป็นวิธีคิดและแบบแผนอันร่วมสมัยที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริงในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ทักษะในศตวรรษที่ 21 จึงพูดถึงทักษะ 4 ด้าน ได้แก่
- Life Skill: ทักษะการใช้ชีวิต หรือศิลปะการใช้ชีวิต (art of living)
- Learning Skill: ทักษะการเรียนรู้ปรับตัว
- Innovation and Creation Skill: ทักษาการสร้าง
- Job Skill: ทักษะการทำงานเลี้ยงตัวเองได้
ทำไมทักษะ 4 ด้านนี้ถึงสำคัญ พูดอย่างรวบรัดคือ…
โลกยิ่ง เปลี่ยนเร็ว เท่าไร = เรายิ่งต้องสร้างทักษะการเรียนรู้ให้เร็วขึ้นโดยการใช้เทคโนโลยีมาช่วย
โลกยิ่งมี ความไม่แน่นอน สูง = เรายิ่งต้องสร้างทักษะการปรับตัวเพื่อรับความผันแปรและความเสี่ยง
โลกยิ่งมี ความซับซ้อน สูง = เรายิ่งต้องมีที่ยืน สร้างจุดแข็งให้กับตัวเอง
โลกยิ่งมี ความไม่ชัดเจน สูง = เรายิ่งต้องสร้างภาวะผู้นำ
การศึกษาสมัยใหม่จึงเปรียบเสมือนตัวต่อเลโก้ เราเรียนรู้ว่าชิ้นส่วนแต่ละชิ้นทำงานยังไง แล้วเอามาต่อเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากจะให้มันเป็น
เราไม่จำเป็นต้องเก่งรู้ทุกอย่าง เราไม่จำเป็นต้องคำนวณเร็วกว่าคอมพิวเตอร์ เราไม่จำเป็นต้องจำรายละเอียดความจริงได้ทั้งหมด แค่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ทำงานด้วยกันอย่างไรและมุ่งที่จะสร้างคำตอบใหม่ๆ (New solution) และเป็นคำตอบที่น่าพอใจ (Accepted, satisfied answer) ได้อย่างไร
โจทย์ของการสร้างบุคลากรคงไม่เหมือนแต่ก่อนที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศในทุกด้านอย่างเดียว (Being best) เราจำเป็นต้องดูว่าเราอยากจะสร้างความแตกต่างกับคนอื่น (Being different ) หรือสร้างเน้นการเป็นผู้นำทางด้านไหน (Being first)
โลกสมัยใหม่ที่ถูก Disruption ในทุกด้าน (ไม่ใช่ fear แต่เป็น fact) ก็ได้สร้างโอกาสใหม่มากมาย คำถามคือเราจะเป็นฝ่ายเตรียมตัวและเด็กๆ ของเราให้พร้อมที่จะสร้างโซลูชันที่ดีพอที่จะ Disrupt โลกสมัยใหม่
หรือจะทำเหมือนเดิมเพื่อเฝ้ารอวันที่จะถูก Disrupt เสียเอง