ความเรียบง่าย งดงามได้ขนาดนี้เลยหรือ?
คือคำถามและคำจำกัดความเพียงอย่างเดียวที่เราคิดถึง เมื่อต้องพูดถึง Last Letter จดหมายรักฉบับสุดท้าย ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ อิวาอิ ชุนจิ ที่สามารถถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของการเขียนจดหมายจาก Love Letter (1995) จดหมายรักฉบับแรกเมื่อ 25 ปีก่อน ให้มาอยู่ในบริบทยุคปัจจุบันที่ถูกขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ตได้อย่างลงตัว
เรื่องราวของ Last Letter เริ่มต้นขึ้นเมื่อ คิชิเบโนะ ยูริ (มัตสึ ทาคาโกะ) แม่บ้านลูกสองที่ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อไปร่วมงานศพของ โทโนะ มิซากิ (ฮิโรเสะ ซึสึ) พี่สาวที่จากไปอย่างกะทันหัน จึงทำให้เธอได้กลับมาพบกับ อายูมิ (ฮิโรเสะ ซึสึ) ลูกสาวของมิซากิที่ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียแม่ของตัวเองไป จนไม่กล้าที่จะเปิดอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายที่แม่ของเธอทิ้งเอาไว้ให้
หลังจากนั้นไม่นานยูริต้องเดินทางไปงานเลี้ยงรุ่นแทนพี่สาวเพื่อบอกข่าวเศร้าให้ทุกคนทราบ แต่แล้วความวุ่นวายก็เริ่มขึ้น เมื่อทุกคนในงานเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นมิซากิ รวมถึง โอโตซากะ เคียวชิโร่ (ฟุคุยามะ มาซาฮารุ) นักเขียนนิยายผู้เป็นรักแรกของยูริเองก็คิดว่าเธอเป็นมิซากิ หญิงสาวที่เคยแอบชอบเช่นกัน
จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เรียบง่าย สวยงาม และแสนประทับใจทั้งหมด เมื่อเคียวชิโร่ได้ส่งจดหมายมาหายูริด้วยประโยคสั้นๆ ที่ว่า
“ถ้าบอกว่ายังรักคุณอยู่จะเชื่อหรือเปล่า”
หนึ่งในความใส่ใจของผู้กำกับ อิวาอิ ชุนจิ ที่เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนผ่าน Last Letter คือการคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของ Love Letter หนังรักในดวงใจของใครหลายคนที่สอดแทรกอยู่ในทุกตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงของหนัง
ทั้งบรรยากาศที่ขุ่นมัวแต่ก็ยังสวยงาม ข้อความบนจดหมายที่ถูกเรียบเรียงอย่างลื่นไหล ฉากการเขียนจดหมายที่ทำให้เราหวนคิดถึงเรื่องราวของ ฮิโรโกะ และอิสึกิ ใน Love Letter ที่ทำให้แฟนคลับที่หลงรักจดหมายฉบับแรกจะได้รับความรู้สึกที่น่าประทับใจแบบเดิมกลับมาอย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้นเราแนะนำให้คนที่ไม่เคยดูลองหา Love Letter มาดูก่อน หรือคนที่เคยดูแล้วก็อาจจะหยิบจดหมายฉบับแรกมาอ่านอีกสักรอบ จะช่วยให้ซึมซับและเข้าถึงความอิ่มเอมในอารมณ์จากการเปิดอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายได้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
Love Letter (1995)
นอกจากกลิ่นอายที่ถูกส่งต่อจาก Love Letter อีกหนึ่งสิ่งที่ชุนจิยังคงเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้อย่างน่าชื่นชมคือการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครผู้หญิงได้อย่างเข้าอกเข้าใจ
ทั้งความรักข้างเดียวของอุซึกิใน April Story (1998), ความสุขปนเศร้าที่ต้องเผชิญของสองเพื่อนสนิทอย่างฮานะและอลิซใน Hana and Alice (2004) รวมทั้งความเหงาและความคิดถึงชายผู้เป็นที่รักของฮิโรโกะและอิสึกิใน Love Letter มาจนถึง Last Letter ที่นำเสนอเรื่องราวความหลังและความสัมพันธ์ของทั้งคนรักและคนที่ถูกรักได้อย่างเข้าอกเข้าใจจนทำให้เราหลงรักทุกตัวละครได้ง่ายๆ
ความรู้สึกเหล่านั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเหล่านักแสดงมากฝีมืออย่าง มัตสึ ทาคาโกะ ในบทบาทของหญิงสาวที่ยังคงเก็บงำความรักข้างเดียวเอาไว้ ฮิโรเสะ ซึสึ ในบทบาทของเด็กสาวที่ยังคงหวนคิดถึงคุณแม่ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ และตัวละครชายอย่าง ฟุคุยามะ มาซาฮารุ ที่เป็นตัวแทนความรู้สึกของผู้ชายที่ยังไม่ลืมรักครั้งแรก ซึ่งพวกเขาก็ร่วมกันถ่ายทอดข้อความที่ชุนจิเขียนเอาไว้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
รวมถึงสองนักแสดงอย่าง คามิกิ เรียวโนซึเกะ ที่มารับบทเป็นเคียวชิโร่วัยเด็ก และนานะ โมริ ในบทของยูริวัยเด็ก ที่เราอาจจะไม่ได้เห็นมากนักเมื่อเทียบกับตัวละครอื่น แต่พวกเขาก็ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวละครในช่วงวัยเด็กได้เป็นอย่างดี
และเมื่อนำมารวมกับบรรยากาศของเมืองมิยางิ เซนได บ้านเกิดของชุนจิ ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติและเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เป็นตัวแทนของอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ถือเป็นองค์ประกอบที่เข้ามาเติมเต็มให้ภาพยนตร์เรื่องนี้งดงามมากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งหมดรวมกันเป็นองค์ประกอบที่นำเสนอ ‘ข้อความ’ สำคัญที่ชุนจิเขียนเอาไว้เพื่อส่งต่อให้ทุกคนที่เคยสูญเสียคนสำคัญได้เปิดอ่าน
เราไม่อาจปฏิเสธความเจ็บปวดเสียใจเมื่อเกิดความสูญเสียในวันที่ร่างกายของคนสำคัญจะไม่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า และเราไม่อาจพบเจอคนคนนั้นได้อีกต่อไป แต่ทุกบรรยากาศ ทุกความทรงจำ ทุกความรู้สึก จะยังคงอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป และคนนั้นจะยังเป็น ‘คนสำคัญ’ ของเราอยู่เสมอไม่มีวันเสื่อมคลาย
ดังเช่นเรื่องราวทุกตัวอักษรที่ถูกเขียนลงบนจดหมาย ที่แม้เวลาผ่านไปจนหมึกจะจาง กระดาษจะเปลี่ยนสี แต่ทุกความทรงจำดีๆ จะถูกเก็บรักษาเอาไว้ตรงนั้น รอให้เรากลับไปเปิดอ่านอีกครั้งเพื่อเรียกช่วงเวลาน่าจดจำเหล่านั้นกลับคืนมา
ร่วมเปิดอ่านจดหมายรักฉบับสุดท้ายของ อิวาอิ ชุนจิ ไปพร้อมกันใน Last Letter เข้าฉาย 12 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ทาง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์