ชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ประเมินทิศทางการลงทุนในงาน KTBST Private Wealth Forum: How to invest in Global Crisis โดยมองว่าอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ของประเทศไทยปี 2562 จะอยู่ที่ 4.25% ชะลอตัวลงจากคาดการณ์ในปี 2018 ซึ่งอยู่ที่ 4.47% สอดคล้องกับการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ที่ปรับประมาณการณ์ GDP ของทั้งโลกจากขยายตัว 3.9% เป็น 3.7% เนื่องจากประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) จะยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าเศรษฐกิจของไทยในปีหน้าจะขยายตัวที่ 3.8%
ชาตรีแนะนำว่าการลงทุนจากนี้จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและใช้ความเชี่ยวชาญในการเลือกลงทุนมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของสินทรัพย์ที่อัตราส่วนราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E) สูง จะถูกเทขายเพื่อทำกำไรจากการคาดการณ์ที่ยังมองอนาคตไม่สดใสของนักลงทุน สิ่งที่ต้องจับตาคือการเจรจากันระหว่างผู้นำสหรัฐอเมริกาและจีนในเวที G20 หากลุล่วงไปด้วยดีก็อาจจะลดแรงกดดันจากเรื่องสงครามการค้าได้พอสมควร ขณะที่ราคาน้ำมันแนวโน้มยังลดลงต่อเนื่อง แม้ว่าองค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก) หรือ OPEC อาจจะปรับลดกำลังการผลิต แต่สหรัฐอเมริกาจะยังเดินหน้าผลิตน้ำมันเชลล์ออยล์ต่อเนื่อง ทำให้ไม่เกิดผลกระทบกับอุปทานของน้ำมันโลกมากนัก ภาคธุรกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบชัดเจนคือ สินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตร และองค์กรที่ธุรกิจสัมพันธ์กับระดับราคาน้ำมัน
อีกประเด็นที่ KTBST ขอให้ติดตามคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ซึ่งบางส่วนคาดว่าจะปรับขึ้นเร็วและต่อเนื่องถึง 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลกเพื่อควบคุมเงินทุนไหลออกและดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 1 ครั้ง สำหรับการบริโภคภายในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง เห็นได้จากยอดขายรถยนต์ยังอยู่ในระดับที่ดี แต่เนื่องจากเป็นสินค้าคงทนจะแตกต่างจากภาพของสินค้าทั่วไป ซึ่งในขณะนี้ช่องว่างระหว่างการผลิตและการบริโภคอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้น เกิดสินค้าคงคลังมากในภาคเอกชน เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรที่มีผลผลิตมาก ราคาตกต่ำและไม่สามารถเก็บรักษาในระยะเวลานานได้
ผลตอบแทนการลงทุนจากตลาดหุ้นนับจากนี้อาจไม่ได้ร้อนแรงเหมือนช่วงสองปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ให้ผลตอบแทน 20-30% อาจปรับระดับลงมาที่ 10% เช่นเดียวกับการลงทุนตราสารหนี้ที่อาจจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 2% แม้ปัจจัยระดับมหภาคทำให้ภาพรวมของการลงทุนไม่สดใสนัก แต่ก็ยังสามารถเลือกลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานและการดำเนินการดีได้ ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นรายตัวต่อไป ซึ่งภายในงานได้ให้รายละเอียดของทางเลือกการลงทุนอย่าง TMB Japan Active Equity Aberdeen Standard Siam Leaders Fund และ LH Property Plus A Fund ด้วย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)