นักวิเคราะห์คาดดัชนีหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลงต่อในวันนี้ จากแรงกดดันของสงครามการค้า หลังสหรัฐฯ ระบุว่า จีนเป็นประเทศปั่นค่าเงินและแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศ ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงทั่วภูมิภาค นอกจากนี้สถานการณ์ในฮ่องกงที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงการตอบโต้ด้วยมาตรการการค้าระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดเอเชียโดยตรง รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองว่า การที่จีนปล่อยสกุลเงินหยวนอ่อนค่าลงต่ำกว่าระดับ 7 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มส่งออกโดยตรง ส่วนหุ้นที่มีแนวโน้มไม่สดใส ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี อสังหาริมทรัพย์ และสายการบิน
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เคทีบีเอสที มองว่าตราบใดที่จีนและสหรัฐฯ ยังไม่หยุดการตอบโต้ นักลงทุนจะมีแนวโน้มเทขายหุ้นและวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) แทน ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลและทองคำ ซึ่งการถือครองสินทรัพย์เหล่านี้ยิ่งมากเท่าใดก็จะยิ่งเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น หลังนักลงทุนตลาด EM ผิดหวังมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และการเจรจาสงครามการค้าที่ไม่ได้ข้อสรุป
ส่วนปัจจัยในประเทศ เวลานี้นักลงทุนรอเพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เอสเอ็มอี การเกษตร และสตาร์ทอัพ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาภาวะเศรษฐกิจ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ส่งออก ท่องเที่ยวที่กำลังชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าไม่น่าจะช่วยได้มากนัก หากสงครามการค้ายังยืดเยื้อ
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ จากปัจจัยลบที่รุมเร้า ทำให้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสหลุดต่ำกว่า 1,660 จุด โดยดีบีเอสมองแนวรับอยู่ในกรอบ 1,670-1,660 จุด ซึ่งตัวแปรที่ติดตามในวันนี้คือ การประชุม ครม. (งบประมาณรายจ่าย) และการรายงานผลกำไรไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน โดยเคทีบีเอสทีมองว่า หากดัชนีฯ หลุดและกลับมายืนเหนือระดับ 1,660 จุดไม่ได้ ให้จับตาหุ้นที่ถูกกระทบจากสงครามการค้าโดยตรง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร ปิโตรเคมี และชิ้นส่วนรถยนต์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- KTBST
- DBS