เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB) หนึ่งในหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคารที่มีปัจจัยกระตุ้นดังนี้
- สินเชื่อจัดชั้น Stage 2 ลดลง และ LLR Coverage สูง: KTB พบว่าสินเชื่อจัดชั้น Stage 2 ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 2Q66 และ 3Q66 ธนาคารได้ปรับชั้นสินเชื่อบางส่วนจาก Stage 2 เป็น Stage 1 เพื่อสะท้อนฐานะการเงินที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคง ECL ของสินเชื่อเหล่านี้ไว้ ส่งผลให้ LLR สำหรับสินเชื่อจัดขั้น Stage 2 เพิ่มขึ้นจาก 25% ใน 1Q66 สู่ 27% ใน 3Q66 KTB มี LLR Coverage ระดับสูงที่ 174% ณ 3Q66 สูงเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มธนาคาร และสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารที่ 170%
InnovestX Research ยังคงประมาณการ Credit Cost ปี 2566 ไว้ตามหลักความระมัดระวังที่ 1.25% (+32 bps) โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7 bps QoQ ใน 4Q66 อย่างไรก็ตาม ได้ปรับประมาณการ Credit Cost ปี 2567 ลดลง 5 bps สู่ 1.2% (-5 bps) เพื่อสะท้อนถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ LLR Coverage ที่สูงกว่าเป้า
- NIM จะทำจุดสูงสุดใน 4Q66: การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมทำให้คาดว่า NIM ของ KTB จะเพิ่มขึ้น 11 bps QoQ สู่ระดับสูงสุดที่ 3.51% ใน 4Q66 แม้ว่าจะไม่มีรายการพิเศษเกิดขึ้นเหมือนใน 3Q66 (เทียบเท่า NIM ที่ 7 bps) ซึ่งคาดว่า KTB จะรักษา NIM ไว้ที่ระดับสูงสุดได้ในปี 2567 แต่ NM จะขยายตัวน้อยลงที่ +14 bps ในปี 2567 จาก +67 bps (มากที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ) ในปี 2566
- อยู่ในตำแหน่งดีที่สุดในการคว้าโอกาสปล่อยสินเชื่อภาครัฐ: ในฐานะธนาคารของรัฐ KTB จึงอยู่ในตำแหน่งดีที่สุดในการคว้าโอกาสปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยงในปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือดีกว่าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เล็กน้อย สินเชื่อภาครัฐของ KTB ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8%QoQ ใน 3Q66 ซึ่งคาดว่าสินเชื่อภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะเพียงพอชดเชยการชำระคืนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ระดับสูงใน 4Q66 โดยยังคงคาดการณ์ว่าสินเชื่อจะเติบโตระดับต่ำที่ 2% ในปี 2566 และ 3% ในปี 2567
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดี: คาดว่า KTB จะปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนเกิดโควิดที่ 35% ในปี 2566 (เทียบกับ 28% ในปี 2565) โดยจะจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2566 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น (Yield 5.6%)
- ด้วย SET ESG Ratings ระดับ ‘AAA’ ราคาหุ้น KTB จึงน่าจะได้รับประโยชน์จากการเปิดตัว ‘กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน’ (Thailand ESG Fund) ในเดือนธันวาคม
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น KTB ปรับลง 0.54% สู่ระดับ 18.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.51% สู่ระดับ 1,378.94 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
InnovestX Research ปรับประมาณการกำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 3% หลักๆ เกิดจากการปรับประมาณการ Credit Cost ลดลง และคาดว่ากำไร 4Q66 จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ (NIM ที่ดีขึ้นถูกหักล้างโดย OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล) และเพิ่มขึ้น 27%YoY ส่วนปี 2567 คาดว่ากำไรจะเติบโตในอัตราชะลอตัวลงจาก 21% ในปี 2566 สู่ 8%YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากสินเชื่อที่เติบโต 3%NIM ที่เพิ่มขึ้น 14 bps และ Credit Cost ที่ลดลง 5 bps
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงเลือก KTB เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 25 บาทต่อหุ้น (PB/V 0.8 เท่า อ้างอิง ROE ระยะยาวที่ 8.5%, อัตราการเติบโตระยะยาวที่ 1%, Cost of Equity ที่ 10.3%) เนื่องจาก 1. Valuation ถูก 2. ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ 3. กำไรจะฟื้นตัวต่อเนื่อง และ 4. ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับสูงสุด
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ
- ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง
- การขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัว และการแข่งขันสูง
- Non-NII ได้รับแรงกดดันจากตลาดทุนที่ผันผวน และแนวโน้มที่ ธปท. จะใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น
- ความเสี่ยงด้าน ESG เกี่ยวกับการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct)