วันนี้ (29 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ กรุณพล เทียนสุวรรณ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณของกรมการข้าวระบุว่า เราใช้งบประมาณผิดทิศผิดทางมาตลอด 2 ปี จึงอยากช่วยรัฐบาลหาเงินในโอกาสสุดท้ายก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะพังแบบจริงจังโดยเฉพาะ 60% ของเกษตรกรไทย
“ตลาดข้าวไทยถูกทุบจนเสียทรงจนลืมสภาพของการเป็นผู้นำข้าวในเอเชีย เพราะถูกเวียดนามและอินเดียทุบตลาดจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ไม่ใช่ว่าเกษตรกรเราทำนาไม่เก่ง แต่เพราะเราไม่มีพันธุ์ข้าวชั้นดีที่ให้ผลผลิตสูง ไม่สามารถแข่งกับคู่แข่งจากต่างประเทศได้”
กรุณพลกล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตข้าวต่อไร่ใน 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่า ประเทศเวียดนามมีอัตราการเติบโต 1.2% ขณะที่ไทยเติบโตเพียง 0.1% เท่านั้น ข้าวหอมมะลิไทยให้ผลผลิต 500-600 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ข้าว ST25 ของเวียดนามให้ผลผลิตอยู่ที่ 1.4 ตันต่อไร่ มีผลผลิตมากกว่าเราเท่าตัว ทำให้เขาขายข้าวในราคาที่ถูกกว่าเราและได้กำไรเหลือ คุณภาพใกล้เคียงจนคนที่ไม่เคยบริโภคข้าวไทยแยกไม่ออก
สำหรับในปี 2569 กรมการข้าวตั้งงบประมาณในโครงการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าววงเงิน 800 ล้านบาท ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรที่ลงทะเบียนกับกรมการข้าว ต้องเป็นสมาชิกศูนย์ข้าวชุมชน สามารถแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวได้รายละไม่เกิน 450 กิโลกรัม โดยเกษตรกรจะนำเมล็ดพันธุ์เก่าที่ใช้ซ้ำหลายปี จนอัตราการงอกต่ำกว่า 80% หรือเมล็ดพันธุ์ที่มีข้าวอื่นปลอมปนนำมาแลกเข้าใหม่ ซึ่งเป็นเมล็ดพันธุ์จากกรมการข้าวใช้ข้าวเก่า 15 กิโลกรัม แลกซื้อข้าวใหม่กิโลกรัมละ 5 บาท โดย 15 กิโลกรัมจะได้หนึ่งกระสอบซึ่งจะขายได้ 30-40 บาทต่อกิโลกรัม
กรุณพลชี้ว่า กรมการข้าวได้รับการจัดสรรงบประมาณ 4,400 ล้านบาท ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชั้นดี 1 แสนตัน ทำให้เกษตรกรกว่า 90% ของประเทศนี้จะไม่ได้รับพันธุ์ข้าวชั้นดี ต้องไปหาซื้อพันธุ์ข้าวและใช้พันธุ์ข้าวเก่า โดยงานวิจัยของ TDRI และศูนย์นโยบายข้าวของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า โครงการนี้ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรไทยได้ เพราะขาดการติดตามผล ไม่มีการสร้างตลาดเมล็ดพันธุ์ที่ยั่งยืน ไม่มีแผนส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ได้อย่างมีระบบ เพราะคุ้นชินกับการได้รับแจกง่ายๆ ราคาถูก
“เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามที่ใช้งบประมาณในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพสูงต้นทุนต่ำปีละพันกว่าล้านบาท ไทยกลับใช้งบประมาณน้อยและหวังผลเลิศ หวังว่าจะเป็นเจ้าตลาดและกลับมาแข่งขันกับเวียดนามได้ กรมการข้าวจึงล้มเหลวในภารกิจหลักและเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับชาวนาไทยอย่างแท้จริง” กรุณพลระบุ
กรุณพลกล่าวว่า มีชาวนาที่ตกหล่นไม่ได้เมล็ดพันธุ์ข้าวมากกว่า 90% แต่สิ่งที่น่ากังวลคือความโปร่งใสของโครงการ เพราะคนที่จะได้รับเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวมีระเบียบกำหนดไว้อยู่ สงสัยว่าการแลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวมีการเอื้อประโยชน์ให้กับนักการเมืองฝั่งรัฐบาลหรือไม่
จากนั้นกรุณพลเปิดคลิปวิดีโอแสดงต่อที่ประชุม เป็นคลิปของ สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส. อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย เชิญชวนเกษตรกรนำเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวเก่ามาแลกกับเมล็ดพันธุ์ใหม่ของกรมการข้าว
กรุณพลตั้งข้อสงสัยว่า ผู้แทนราษฎรใช้สิทธิอะไรในการไปนำข้าวจากกรมการข้าวมาแจกแทนข้าราชการ ใช้สิทธิอะไรนำเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกรมาเก็บไว้กับตนเองเพื่อนำไปสีแล้วมาแจก และจากคลิปวิดีโอจะเห็นได้ชัดว่าข้าวที่เกษตรกรนำมาแลกถูกกองไว้ที่หน้าที่ทำการของพรรคเพื่อไทย
“ผมอดคิดไม่ได้ว่าการทำแบบนี้เป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐซื้อเสียงล่วงหน้า แจกให้จำ ทำให้เป็นบุญคุณ สุดท้ายตามมาชดใช้กันในวันเลือกตั้ง ทั้งที่การกระทำแบบนี้ผิดระเบียบราชการ 100%” กรุณพลระบุ
กรุณพลกล่าวว่า หาก สส. ทั้ง 500 คนติดต่อไปที่กรมการข้าวและขอทำเช่นนี้บ้างจะมีเกษตรกรอีกกี่คนที่ถูกแซงคิว เข้าไม่ถึงเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่มาจากภาษีประชาชน เป็นความล้มเหลวของกรมการข้าว ที่ทิ้งภารกิจพัฒนาสายพันธุ์ชั้นดีไว้กลางทางแล้วปล่อยให้เกษตรกรดิ้นรนกับราคาข้าวที่ตกต่ำ ใช้งบประมาณอย่างเปล่าประโยชน์และถูกกังขาว่าเอื้อให้กับนักการเมืองในฝั่งรัฐบาล
ทำให้สุดารัตน์ขอใช้สิทธิ์พาดพิง ก่อนกล่าวว่าขอบคุณที่หยิบเรื่องราวของตนเองขึ้นมา เพราะให้รู้ว่าตนเองก็สำคัญ ตนเองเป็น สส. เขต การุณพลเป็น สส. บัญชีรายชื่อ จึงไม่ทราบว่าการที่เราเป็นผู้แทนของชาวบ้านของราษฎรต้องทำอะไรบ้าง หากติดตามช่องทางโซเชียลมีเดียของตนเอง จะเห็นว่าพยายามเป็นผู้แทนของพี่น้องประชาชน อยู่กับประชาชนทุกช่วงอายุ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกสถานการณ์ ช่วงนี้เป็นฤดูกาลลงนา พี่น้องประชาชนเริ่มลงนาหว่านข้าวหรือดำนา จึงเห็นว่าปัจจุบันนี้เกษตรกรใช้ผลิตภัณฑ์เดิม เมล็ดพันธุ์เก่า ทำให้ผลผลิตไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร กรมการข้าวมีนโยบายจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวให้กับเกษตรกรและผู้บริโภคที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการข้าว
“เมื่อพี่น้องไปติดต่อในการประสานงานเอง เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบากสำหรับประชาชน ดิฉันจึงเป็นตัวกลางในการช่วยประสานงาน จึงเอาข่าวดีของแต่ละกระทรวงมาบอกประชาชน ดิฉันวุ่นวายกับพี่น้องประชาชนตลอด สิ่งไหนดีดิฉันจะพูด ดิฉันจึงแจ้งว่าตอนนี้กรมการข้าวมีนโยบายดีๆ ในการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวให้พี่น้องเพื่อปรับปรุงพันธุ์”
อย่างไรก็ตาม เมื่อบอกไปชาวบ้านก็ไม่รู้ช่องทางที่ต้องแลก คือต้องซื้อ โดยเงินของชาวบ้านแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนมองว่าน้อย แต่บางคนไม่มีตัวกลางที่ไม่ช่วยเหลือ และคิดว่าจะทำอย่างไรให้พี่น้องเข้าถึงเมล็ดพันธุ์ข้าว พี่น้องไม่มีเงิน แต่มีเมล็ดพันธุ์ในยุ้งฉางอยู่แล้ว ให้เอามาแลกได้หรือไม่ เพราะถ้านำมาแลกในราคาสัดส่วนที่เท่ากันได้หรือไม่ ซึ่งเมื่อราคาตรงกัน จึงมีการปรึกษากับผู้ที่มีส่วนกับโครงการนี้ก่อนจะทำอะไรตนเองรอบคอบไตร่ตรองอย่างดี
“สิ่งที่ดิฉันทำลงไปเป็นเจตนาดี อยากทำให้พี่น้องประชาชน และอยากฝากว่าถ้าเกิดสิ่งใดดีๆ เราในฐานะผู้แทนเหมือนกันก็อยากจะให้สนับสนุนพี่น้องประชาชน อย่าหาทางจับผิดกันเลย นี่ไม่ใช่การแจก แต่เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างกรมการข้าวกับพี่น้องประชาชน” สุดารัตน์กล่าว
