กรุงศรี ฟินโนเวต เตรียมเปิดขายกองทุนสตาร์ทอัพไทยใหม่อีก 1 กองทุนในปีหน้า มูลค่าระดมทุน 1,000 ล้านบาท หวังสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยสร้างการเติบโต
แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลทุน (Corporate Venture Capital: CVC) ภายใต้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวและเสนอขายกองทุนสตาร์ทอัพใหม่อีก 1 กองทุน มูลค่ากองทุนราว 1,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพไทยที่อยู่ระหว่างการสร้างการเติบโต (ก่อนซีรีส์ A) โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณารายละเอียด และศึกษาการจัดตั้งกองทุน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้ยื่นเอกสารไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แต่อย่างใด
โดยกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนที่จะเสนอขายกองทุน คือนักลงทุนทั่วไป ประเภท High Net Worth ผ่านการเสนอขายของ บลจ.กรุงศรี ขณะที่อัตราผลตอบแทนน่าจะสูงกว่ากองทุนสตาร์ทอัพซีรีส์ A ทั่วไป เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่า
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดต่างๆ ในการจัดตั้งกองทุน โดยสาเหตุที่สนใจตั้งกองทุนสตาร์ทอัพใหม่ครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทต้องการสนับสนุนสตาร์ทอัพของไทยซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ให้สามารถสร้างการเติบโตหรือ Scale Up ได้ ซึ่งระหว่างนี้บริษัทกำลังจัดหาทีม Incubate มาเสริมทัพในบริษัท เพื่อให้เราสามารถส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยได้อย่างเต็มที่” แซมกล่าว
ทางด้านความคืบหน้ากองทุนฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I (Finnoventure Private Equity Trust I) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพครั้งแรกของไทยที่จัดตั้งเมื่อปลายปี 2564 นั้น ขณะนี้ได้รับเงินระดมทุนมาแล้ว 2,620 ล้านบาท และอยู่ระหว่างรอรับโอนอีก 1,560 ล้านบาท โดยได้รับเงินระดมทุนจากองค์กรขนาดใหญ่ของไทย ที่มีเป้าหมายในการสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพไทย เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, บมจ.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ บมจ.สยามราชธานี (SO)
ล่าสุด กองทุนฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I ได้ใส่เงินลงทุนไปแล้วใน 8 กิจการ รวมมูลค่าลงทุนราว 326.3 ล้านบาท โดย 7 กิจการสตาร์ทอัพได้เปิดเผยรายชื่อแล้ว และอีก 1 กิจการอยู่ระหว่างการปิดดีลลงทุน นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนอีก 8 กิจการ ซึ่งคาดว่าทั้งปี 2565 กองทุนฟินโนเวนเจอร์ ฟันด์ I จะเข้าลงทุนได้ทั้งหมด 12 กิจการ
แซมกล่าวว่า กรุงศรี ฟินโนเวต ยังได้จัดตั้งกองทุน Finnoverse เมื่อกลางปี 2565 ด้วยมูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท (30 ล้านดอลลาร์) เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีทางการเงินดิจิทัลที่ช่วยวางรากฐานการเงินแห่งอนาคตให้กับธนาคาร โดยเฉพาะเทคโนโลยี Blockchain ที่จะช่วยให้ธนาคารยกระดับขึ้นเป็น Blockchain Based Banking ได้ โดยกองทุนนี้จะมุ่งเน้นการลงทุนใน 5 รูปแบบกิจการ ประกอบด้วย 1. Fund of Funds 2. DeFi 3. Major Key Use Cases เช่น ลงทุนใน GamiFi / NFT / Metaverse / Web 3.0 และ Exchange 4. Protocol และ 5. Infrastructure
โดยล่าสุด กองทุน Finnoverse ได้ลงทุนไปแล้วใน 2 กิจการสตาร์ทอัพ จากเป้าหมาย 5 กิจการ โดยกองทุนนี้วางแผนลงทุนประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ต่อปี ในช่วงปี 2565-2567
“ในปัจจุบัน กระแสสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยีทางการเงินดิจิทัลที่เกี่ยวข้องนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และนับเป็น Disruption ครั้งสำคัญในโลกการเงิน ประเทศไทยเองก็เป็นประเทศที่มีความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลเป็นระดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Decentralized Finance ที่สถาบันการเงินไทยกำลังให้ความสนใจในการพัฒนา หรือ Blockchain และเงินดิจิทัลที่กำลังแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้งานได้จริง ดังที่เราได้เห็นเทรนด์ใหม่ๆ ที่มาแรงในด้าน GameFi, Non-Fungible Token หรือ NFT, Metaverse หรือ Web 3.0 ทั้งในหมู่ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ เวลานี้จึงนับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน เนื่องจากผู้คนมีความคุ้นเคยกับนวัตกรรมทางการเงินเหล่านี้มากขึ้น และเริ่มเห็นศักยภาพการเติบโตในระยะยาว” แซมกล่าว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP