ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเปิดกลยุทธ์ธุรกิจลูกค้ารายใหญ่และวาณิชธนกิจปี 2565 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อโต 2% จากยอดคงค้าง 4.13 แสนล้านบาท พร้อมรุกธุรกิจ ESG Finance ต่อเนื่อง ตั้งเป้าปล่อยได้ 5 หมื่น – 1 แสนล้านบาทภายในปี 2573
ประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมากลุ่มงานลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 4.13 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ขณะเดียวกันธนาคารยังให้ความสำคัญกับแนวคิดการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลสู่ความยั่งยืน หรือ ESG อย่างต่อเนื่อง โดยออกตราสารหนี้ ESG ให้กับลูกค้าราว 1.6 หมื่นล้านบาท และปล่อยสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอีกประมาณ 6 พันล้านบาท
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565 ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตที่ 2% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับอุตสาหกรรม โดยสาเหตุที่ไม่ได้เน้นการเติบโตมากในปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงจากสงครามและราคาพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องจากกำลังการบริโภคไปสู่ภาคธุรกิจ
“ธุรกิจในปีนี้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากสงคราม ราคาน้ำมัน โควิด กระแสดิจิทัล รวมถึงการตึงตัวของห่วงโซ่การผลิต ความท้าทายเหล่านี้จะทำให้ธุรกิจยังต้องปรับตัวต่อเนื่อง ในส่วนของธนาคารปีนี้ก็จะเน้นไปที่การเติบโตในเชิงคุณภาพและโฟกัสไปที่กลุ่มธุรกิจที่ยังมีศักยภาพในการเติบโต เช่น อาหาร โลจิสติก สุขภาพ และอีวี ส่วนกลุ่มที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว เช่น ท่องเที่ยว เราก็ยังให้ความช่วยเหลืออยู่” ประกอบกล่าว
เขากล่าวด้วยว่า ในปีนี้ธนาคารยังตั้งเป้าจะเติบโตด้าน ESG Finance อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ ESG Finance ทั้งในส่วนของสินเชื่อและการออกบอนด์ให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่น – 1 แสนล้านบาทภายในปี 2573
“กระแสเรื่อง ESG Finance เริ่มเป็นที่สนใจของธุรกิจในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในอุตสาหกรรมพลังงานเหมือนที่ผ่านมา เพราะในอนาคตประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอาจนำไปสู่เรื่องการกีดกันทางการค้าได้ ทำให้ขณะนี้ก็มีลูกค้าสอบถามเข้ามาค่อนข้างมาก” ประกอบระบุ
สำหรับแนวโน้มของดีลการเข้าซื้อและควบรวมกิจการในอาเซียนปีนี้ ธนาคารมองว่าภาคธุรกิจจะยังอยู่ในโหมดที่ใช้ความระมัดระวัง เพราะสถานการณ์โควิดทำให้การเดินทางเพื่อไปเจรจาและดูกิจการระหว่างกันยังไม่สะดวกมากนัก ทำให้การทำ Due Diligence ค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ดี เชื่อว่ากระแส ESG ที่ทำให้หลายบริษัทต้องปรับโครงสร้างตัดขายพอร์ตบางกิจการจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เกิดดีลมากขึ้น โดยที่ผ่านมาธนาคารได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้บริษัทในฟิลิปปินส์แห่งหนึ่งเข้ามาถือหุ้น 50% ในบริษัทด้าน ESG ของไทยไปแล้ว
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP