ศูนย์วิจัยกสิกรไทยตั้งข้อสังเกตว่า หลังผลการประชุม กนง. รอบนี้ แบงก์ไทยยอมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพียง ‘ขาเดียว’ ไม่รวมดอกเบี้ยเงินฝาก ประเมินว่าสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจที่น่าจะได้รับอานิสงส์ราว 56.4% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย ทำให้ภาระดอกเบี้ยลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจลดลงราว 7,300-7,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 1.0-1.2% ของประมาณการรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปี 2568
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ระบุว่า หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.00% เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรต่างก็ปรับตัวลดลงตามในทันที ตามกลไกการส่งผ่านของนโยบายการเงิน
โดยอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินระยะสั้นระยะ (Tenor) ไม่เกิน 1 ปี ปรับลดลงประมาณ 0.24-0.25% ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยช่วงอายุ 1 เดือน-1 ปี ลดลง 0.08-0.10% (ข้อมูล ณ 3 มีนาคม 2568)
แบงก์ไทยลดอัตราดอกเบี้ยขาเดียวเฉพาะเงินกู้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า จุดสนใจหลังผลการประชุม กนง. รอบนี้ก็คือการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มขึ้นภายใน 1 วันตามหลัง กนง. และเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ‘ขาเดียว’
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในกลุ่ม D-SIBs ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR ลงในกรอบประมาณ 0.10-0.25% ซึ่งมีผลตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2568
โดยในเบื้องต้น (ณ วันที่ 4 มีนาคม 2568) ยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะ 3 เดือน, 6 เดือน, 12 เดือน และ 24 เดือนสำหรับบัญชีเงินฝากของบุคคลธรรมดา
รายย่อยและธุรกิจราว 56.4% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบได้อานิสงส์
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าการปรับลดดอกเบี้ยจะมีผลต่อสัญญาเงินกู้ของสินเชื่อปล่อยใหม่ แต่จะช่วยแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้พอร์ตปัจจุบันก็ต่อเมื่อหนี้ก้อนนั้นเข้าสู่ช่วงปรับดอกเบี้ยที่เป็นตัวอ้างอิง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจที่น่าจะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภายในช่วงกลางปีนี้ จะมีสัดส่วนประมาณ 56.4% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบแบงก์ไทย
ส่วนผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขาเดียวอีกครั้งในรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจปรับลดลงประมาณ 7,300-7,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนราว 1.0-1.2% ของประมาณการรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปี 2568 (ภายใต้สมมติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม-ธันวาคม 2568)
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ แต่ไม่ทันที โดยขึ้นอยู่กับข้อมูล GDP ในไตรมาสแรกของปี 2568 และผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสิ้นปีไปอยู่ที่ระดับ 1.75%
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% เหลือ 2.00% ต่อปีนั้น ธนาคารพร้อมตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าวด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับลูกค้าทุกกลุ่มสูงสุด 0.25% มีผลวันที่ 4 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลด 0.25% จาก 7.34% เป็น 7.09% ต่อปี
- อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดจาก 7.15% เป็น 7.05% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดจาก 7.18% เป็น 7.08% ต่อปี