×

KResearch แนะมาตรการควิกวิน ‘รัฐบาลใหม่’ กระตุ้นโมเมนตัมเศรษฐกิจไทย พร้อมปรับคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้เป็น 1.8%

09.09.2025
  • LOADING...
รัฐบาลใหม่ GDP ไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปี 2568 มาที่ 1.8% จากแรง Front Load ส่งออกก่อนการเก็บภาษีทรัมป์ที่เหลือ แต่เตือนภาพรวมเศรษฐกิจโลกและไทยยังมีความไม่แน่นอนสูง พร้อมแนะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ควรทำเพื่อกระตุ้นและรักษาโมเมนตัมเศรษฐกิจไทย

 

วันนี้ (9 กันยายน) บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) มองว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับเศรษฐกิจได้ หลังจากมีการดึงเทคโนแครต และภาคเอกชนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมทีม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา เนื่องจากรัฐบาลคาดว่า จะมีอายุ 4-7 เดือนเท่านั้น ทำให้เศรษฐกิจไทยและภาคเอกชนไทยอาจเผชิญปัญหาเรื่อง ‘ความต่อเนื่อง’ 

 

โดยนอกเหนือจากโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่รัฐบาลประกาศเตรียมจะทำแล้ว บุรินทร์ แนะว่า สิ่งที่รัฐบาลนี้ควรให้ความสำคัญคือ มาตรการภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เพื่อดึงดูดแรงงานมีฝีมือให้เข้ามาในประเทศไทย

 

“อีกนโยบายที่สามารถทำได้คือ การลดภาษีให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ เนื่องจาก ปัจจุบัน อัตราภาษีของไทยแข่งขันไม่ได้ ไม่สามารถดึงแรงงานที่มีทักษะมาอยู่ได้จริง เช่น นักการธนาคาร และผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ ที่อาจอยากย้ายมาอยู่ในไทย แต่พอเจอภาษีแบบนี้ ก็ไปอยู่ที่อื่นดีกว่า” 

 

นอกจากนี้ บุรินทร์ยังแนะว่า รัฐบาลควรแก้กฎหมายต่างๆ ที่พะรุงพะลัง เพื่อยกระดับประเทศ รวมถึงสานต่อนโยบายรถเก่าแลกรถใหม่ เพื่อกระตุ้นการผลิตรถยนต์ และเอารถเก่าที่อาจจะสร้างมลพิษออกไป รวมถึงออกมาตรการกระตุ้นด้านอสังหาริมทรัพย์

 

โดยบุรินทร์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ยังมีสิ่งที่เรามองต่อไปก็คือ ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ ซึ่งต้องจับตาดูว่า รัฐบาลใหม่จะสามารถแก้อะไรได้หรือไม่ ในเวลาอันสั้น”

 

KResearch ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปีนี้

 

ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 มาอยู่ที่ 1.8% จาก 1.5% จากแรงหนุนการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีฯ ตามมาตรา 232 และภาษีสินค้าอ้อมผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) จะมีผลบังคับใช้

 

โดยการส่งออกที่ชะลอตัวลงน้อยกว่าที่คาดในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ส่งผลให้ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคนั้นลดต่ำลง

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ยังมีความท้าทายจากผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากภาษีสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และปัจจัยทางการเมืองที่ยังต้องติดตาม

 

รัฐบาลใหม่ GDP ไทย

 

ไทยมีสัดส่วนสินค้าที่โดนภาษีสูงกว่า 19% ‘เกือบครึ่งหนึ่ง’

 

เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า กลุ่มที่ใช้วัตถุดิบในประเทศน้อยกว่า 50% อาจเสี่ยงโดนภาษี Transshipment ของสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ซึ่งมีสัดส่วนราว 27% ของสินค้าส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ขณะที่ ประเมินว่าอัตราภาษีเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Effective rate) ของไทยน่าจะอยู่ที่ราว 26% ต่ำกว่ามาเลเซีย แต่สูงกว่าเวียดนามและอินโดนีเซีย

 

โดยไทยมีสัดส่วนสินค้าที่โดนภาษีสูงกว่า 19% เกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ทำให้ยังเป็นโจทย์ที่ต้องเร่งดูแลภาคการผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบลูกโซ่ที่จะมีต่อธุรกิจและแรงงาน

 

 

ดังนั้น โจทย์ที่รัฐบาลใหม่ควรทำ ได้แก่ ช่วยเหลือ SMEs กลุ่มที่โดนภาษีสูง รวมถึงกลุ่มที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้า ดูแลต้นทุนต่างๆ รวมถึงค่าเงินบาท เพื่อช่วยธุรกิจให้แข่งขันได้ ผลักดันการใช้วัตถุดิบในประเทศที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และหาตลาดศักยภาพใหม่ๆ เช่น อินเดีย เม็กซิโก บราซิล เป็นต้น

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising