ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC วันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2566 เพื่อรอดูแนวโน้มเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
โดยแม้ว่าเงินเฟ้อจะยังคงสูงกว่าเป้าหมายและตลาดแรงงานยังคงค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่เมื่อมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงตามเงินออมที่ลดลงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังเป็นความไม่แน่นอนที่สำคัญ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า Fed อาจยังคงเปิดโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ในคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า (Fed Dot Plot) จากการประชุมครั้งก่อนหน้า หากเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ จากการส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ของ Fed เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 2.0% อย่างมีนัยสำคัญ และตลาดแรงงานที่ยังสะท้อนภาพแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ายังมีความเป็นไปได้ที่ Fed อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อไปแตะระดับสูงสุดที่ 5.50-5.75% หากเงินเฟ้อสหรัฐฯ กลับมาเร่งตัวสูงขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศที่ยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง
แต่ความน่าจะเป็นต่อกรณีนี้ค่อนข้างต่ำ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงให้น้ำหนักมากที่สุดต่อกรณี Fed สิ้นสุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบวัฏจักรนี้ และคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50% ไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย
ขณะที่เมื่อมองไปข้างหน้า Fed มีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยสูงและนานกว่าที่คาด (Higher for Longer) หากเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าปรับลดลงช้า และหากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงไม่ชะลอตัวลงอย่างที่คาด
โดย Fed อาจพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้าไปแล้ว ซึ่งจังหวะการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายคงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มที่จะยังเผชิญความผันผวนต่อไปในระยะข้างหน้า โดยหาก Fed เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่คาด หรือคงดอกเบี้ยนโยบายยาวนานกว่าที่คาด ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐได้