วิกฤต ‘แม่น้ำกก’ ปัญหาใหญ่สิ่งแวดล้อมไทยที่ยังคงเงียบ แม้ว่าจะกระทบชีวิตและปากท้องประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งยังทำเศรษฐกิจซบเซา ชาวบ้านเผยหนักยิ่งกว่าช่วงโควิด ความคืบหน้าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว และรัฐบาลทำอะไรแล้วบ้าง หรือเป็นเพราะเรื่องนี้อยู่ไกลคนเมืองออกไปกว่า 700 กิโลเมตร การช่วยเหลือหรือเยียวยาจึงเป็นเรื่องที่รอได้อย่างนั้นหรือ
วิกฤตสารปนเปื้อนแม่น้ำกก
‘แม่น้ำกก’ ถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญในภาคเหนือของไทย หล่อเลี้ยงประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำ มีต้นกำเนิดจากภูเขาทางตอนเหนือของเมืองกก จังหวัดเชียงตุง ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลเข้าสู่ประเทศไทยที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านอำเภอเมืองเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย รวมความยาวประมาณ 285 กิโลเมตร
ทว่าตอนนี้จาก ‘แม่น้ำสายสำคัญ’ กลับกลายเป็น ‘จุดวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมไทย’ ตั้งแต่ที่ชาวบ้านเริ่มสังเกตเห็นสีของน้ำที่เปลี่ยนไปในเดือนมีนาคม สายน้ำเริ่มขุ่นกว่าที่เคยเป็น และคาดว่ามีสาเหตุสำคัญมาจากจุดต้นน้ำที่มีกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมาที่ใช้สารเคมีในการสกัดแร่โดยไม่มีการควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
สารหนูเกินค่ามาตรฐานทุกจุด
เวลาล่วงเลยมากว่า 4 เดือน ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง พบการปนเปื้อนของ ‘สารหนู’ (Arsenic) เกินมาตรฐานทุกจุดที่ตรวจวัดแล้ว
ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำและตะกอนดินในพื้นที่แม่น้ำกก จำนวน 15 จุด (รหัส KK01-KK15) ครั้งที่ 4 ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 ของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) พบว่า ‘สารหนู’ (Arsenic) เกินมาตรฐาน 0.010 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) ทั้ง 15 จุด
นอกจากนี้ยังได้ขยายการตรวจวัดไปยังแม่น้ำสาย 3 จุด (SA01-SA03) และแม่น้ำโขงอีก 2 จุด (NK01-NK02) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย พบว่า สารหนูในแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงเกินค่ามาตรฐานทั้งหมดในจุดตรวจเช่นเดียวกัน
ในขณะที่แม่น้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำกก ได้แก่ แม่น้ำฝาง แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำมีค่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
3 ประเด็นสำคัญ จากผลตรวจสารปนเปื้อน
ทั้งนี้ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ได้วิเคราะห์ว่าข้อมูลผลตรวจดังกล่าวนี้สามารถชี้ให้เห็นถึง 3 ประเด็นสำคัญ
ประเด็นแรก: การพบค่าสารหนูและความขุ่นสูงในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา จุดตรวจในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่อยู่ใกล้พรมแดนล้วนพบความขุ่นของน้ำเกินค่าปกติ และพบโลหะหนักอย่าง ‘สารหนู’ ในระดับสูง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับกิจกรรมเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา
ประเด็นที่สอง: แม่น้ำโขงอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากแม่น้ำสาย จากการวิเคราะห์เบื้องต้น ค่าสารหนูในแม่น้ำโขงอาจมีความเชื่อมโยงกับการไหลรวมของแม่น้ำสายและแม่น้ำรวกก่อนลงสู่แม่น้ำโขง แต่อย่างไรก็ตาม จำเป็นจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำจากต้นทางที่ไหลมาจาก สปป.ลาว เพื่อยืนยันสาเหตุ
และประเด็นสุดที่สาม: ฤดูฝนส่งผลให้สารปนเปื้อนถูกชะล้างและกระจายตัวมากขึ้น เนื่องจากการตรวจวัดครั้งที่ 4 เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูฝน หลังวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 น้ำมีความขุ่นสูง กระแสน้ำแรง และมีการเปิดประตูระบายน้ำจากฝายเชียงรายเพื่อชลประทานและระบายน้ำหลาก ตะกอนจากต้นน้ำจึงถูกชะล้างและพัดพาสารปนเปื้อนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ค่าสารหนูในแม่น้ำกกและสายเกินมาตรฐานในทุกจุดที่ตรวจวัด
ผลกระทบลุกลาม เศรษฐกิจดิ่ง-ประชาชนไร้ที่พึ่ง
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดเมื่อรู้ว่าสารหนูเกินมาตรฐานคือ แล้วประชาชนในพื้นที่จะได้รับผลกระทบอย่างไร และรัฐทำอะไรเพื่อเป็นที่พึ่งให้แก่พวกเขาบ้าง
ก่อนหน้านี้สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตได้ออกมาเผยแพร่ภาพผลกระทบต่อปลาในแม่น้ำจนเกิดตุ่มพอง ในขณะที่ช้างและคนที่สัมผัสน้ำในแม่น้ำก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
และถึงแม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะยืนยันว่า น้ำประปา ผัก และปลา ในลุ่มแม่น้ำกกยังปลอดภัย แต่กรมควบคุมมลพิษเตือนว่า หากประชาชนนำน้ำในพื้นที่ที่ตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานไปใช้อุปโภคบริโภค จำเป็นต้องผ่านกระบวนการบำบัดก่อน และแนะนำให้หลีกเลี่ยงการจับสัตว์น้ำหรือทำกิจกรรมในแม่น้ำช่วงเวลานี้ เนื่องจากสารหนูอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทั้งคนและสัตว์น้ำ
ทางด้าน สีทน คำแปง ผู้จัดการปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร จังหวัดเชียงราย เปิดเผยกับสำนักข่าวชายขอบว่า ตอนนี้ได้รับผลกระทบหนัก เพราะนักท่องเที่ยวลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ช้างก็ลงอาบน้ำในแม่น้ำไม่ได้ ต้องใช้ประปาภูเขา แต่ก็แทบไม่พอเพราะตอนนี้ทุกบ้านต่างก็ต้องใช้ประปาภูเขาเช่นกัน แต่อย่างน้อยช่วงนี้เป็นฤดูฝนทำให้สามารถกรองน้ำไว้ใช้ได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนกรณีการพบ ‘ปลาแค้’ มีอาการผิดปกติ เช่น มีตุ่มนูนบริเวณผิวหนัง หลังครีบ และบริเวณรอบปาก ทางกรมประมงเผยผลการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างละเอียด โดยผลจากห้องปฏิบัติการพบว่า ปลาตัวอย่างทั้ง 2 ตัว มีพยาธิใบไม้ในกลุ่มไดจีน (Digenea) อยู่ในกล้ามเนื้อ ลักษณะอาการดังกล่าวเป็นอาการที่เกิดจากปรสิตในธรรมชาติ ซึ่งอาจพบได้ในปลาน้ำจืดทั่วไป
ซึ่งทางสำนักข่าวชายขอบรายงานว่า รศ. ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า การตรวจปลาของทางการไม่ได้ระบุเรื่องของสารเคมีหรือสารพิษในแหล่งน้ำ ไม่แตะเรื่องนี้เลย จึงแทบไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ซึ่งในการตรวจนั้นมีส่วนที่ไม่มีชีวิตคือคุณภาพน้ำ ตะกอนดิน สารเคมี และส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีชีวิต เช่น พยาธิ ซึ่งหน่วยงานดูแค่ตรงนี้ แต่ไม่ได้ดูแร่ธาตุโลหะหนักมาวิเคราะห์ด้วย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพความเป็นอยู่ของคนและสัตว์ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย
สำนักข่าวชายขอบ รายงานว่า ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ที่เคยคึกคักในช่วงต้นฤดูฝนได้หายไปหมด อย่างเช่น การจับปลา ที่ในทุกๆ ปีช่วงนี้ชาวบ้านจะออกมาหาปลากันอย่างคึกคักเพราะมีปลามาก
ในขณะที่คนขับเรือท่องเที่ยว เผยว่า ตอนนี้นักท่องเที่ยวน้อยที่สุด น้อยยิ่งกว่าช่วงการระบาดของโควิด เพราะนักท่องเที่ยวต่างหวาดผวากลัวการสัมผัสน้ำ ด้านชาวประมงได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เพราะไม่สามารถจำหน่ายปลาได้ตามปกติ รายได้หดหายอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลทำอะไรแล้วบ้าง?
แล้วตอนนี้รัฐบาลทำอะไรแล้วบ้าง สิ่งที่เห็นว่าเป็นรูปธรรมที่สุดคือการสั่งสร้าง ‘ฝายดักตะกอน’ ในแม่น้ำกก
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้มีความกังวลจากบางฝ่ายเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของฝายดักตะกอน โดย ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทยเห็นว่าควรศึกษาเพิ่มเติมก่อนดำเนินการก่อสร้างจริง และมีข้อเสนอว่าการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุโดยการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหยุดการทำเหมืองแร่ที่ปล่อยสารพิษน่าจะเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่า
เรื่องนี้ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่เป็นต้องจับตาว่าประชาชนในพื้นที่จะได้รับการช่วยเหลือเมื่อไร และทางออกของเรื่องนี้รัฐบาลจะทำอย่างไร