วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ตนมีกำหนดการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดนที่อำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด ในวันที่ 9 พฤศจิกายน มี 2 ประเด็นคือ 1. จะเดินทางไปยังหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด กองทัพเรือ เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ ดูแลทุกข์สุขกำลังพลหน่วยปฏิบัติการเกาะกูดที่อยู่เฝ้าชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณเกาะกูด 2. ไปเพื่อยืนยันให้ชัดเจนว่าเราเป็นเจ้าของเกาะกูด ประเทศไทยเป็นเจ้าของเกาะกูด และบนเกาะกูดเป็นเขตอธิปไตยของประเทศไทย ซึ่งมีหน่วยราชการและประชาชนอาศัยอยู่ด้วย เพื่อให้ประชาชนสบายใจและมั่นใจขึ้น
ทั้งนี้ ตนจะเดินทางไปพร้อมกับปลัดกระทรวงกลาโหม เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเสนาธิการทหารเรือ
“ไปดูสถานที่จริง เพื่อเวลาคุยกันตรงนี้จะได้พูดกันได้ชัดเจนว่าเราไปเห็นมาแล้วว่าเป็นอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่าความรู้สึกของคนที่อยู่ที่นั่นเขาก็อยากมั่นใจว่าเขาเป็นคนไทยและอยู่บนพื้นแผ่นดินไทย ส่วนกำลังทหารทั้งหมดก็มั่นใจว่าทำหน้าที่ในการรักษาดินแดนและอธิปไตยของไทยไม่ให้ใครมารุกล้ำ และจะรักษาพื้นที่ไว้ไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว” ภูมิธรรมกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากเรื่องการลงพื้นที่แล้วยังมีเรื่องการพัฒนาของกองทัพหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า ก็จะไปดูสภาพว่าเป็นอย่างไร จะต้องมีการพัฒนาและแก้ไขอย่างไรเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอันนี้เป็นพื้นที่ของเราที่รัฐบาลจะดำเนินการดูแล แก้ไข และพัฒนาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยอยู่แล้ว ทั้งนี้ เรื่องการตรวจเยี่ยมกำลังพลเป็นหน้าที่ที่ตนพยายามทยอยไปอยู่แล้ว หากไปที่จังหวัดไหนก็จะไปตรวจเยี่ยมหน่วยและกำลังพลตรงนั้น
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ภูมิธรรมกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพูดไปแล้วว่าน่าจะไม่เกิน 2 สัปดาห์จะสามารถจัดตั้งได้ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศ ก็คงจะต้องดูตรงนี้ให้เหมาะสม แต่ว่าเราดำเนินการอยู่แล้ว โดยกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการดึงเอาคณะกรรมการมาทบทวน เพื่อเสนอให้ ครม. พิจารณาอีกครั้ง ส่วนใหญ่ตามโครงสร้างเดิมให้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเป็นประธานคณะกรรมการ และประกอบไปด้วยตัวแทนกระทรวงกลาโหม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง
รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งจะดึงเข้ามาทั้งหมด และจะต้องตั้งคณะอนุกรรมการอีก 2 ชุดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดสรรพื้นที่ทางทะเล หรือคณะกรรมการที่จะเจรจาในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกับกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม. ก็ต้องมารอดูตรงนั้นอีกทีในเรื่ององค์ประกอบ ว่า ครม. จะเห็นว่าใครเหมาะสม ซึ่งหากเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็แล้วแต่มติ ครม.
ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนมองความพยายามของรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการชี้แจงข้อเท็จจริงครั้งนี้ว่าจะช่วยลดความสับสนลงไปได้บ้าง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการกุข่าว เป็นการพูดที่เลื่อนลอยโดยไม่ได้อยู่บนฐานของความเป็นจริง เกาะกูดเป็นของไทยมานานแล้ว ไม่เคยมีคำถาม คนไทยก็ใช้ชีวิตที่ตรงนั้นอย่างเต็มที่ หน่วยราชการไทยก็ตั้งอยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นตรงนี้ไม่เคยเป็นปัญหา เพียงแต่หยิบยกขึ้นมาเพื่อมาใช้สร้างประเด็นทางการเมือง
ทั้งนี้ พอไล่ดูไปทั้งหมดก็มีความชัดเจน จะเห็นว่าเกาะกูดเป็นของไทยมาตลอด รัฐบาลต่างๆ พยายามสนับสนุนให้มี MOU 44 เพื่อดำเนินการต่อไป เพราะถือว่าเป็นกลไกและเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่เราจะเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล เป็นการประกาศไหล่ทวีปในขอบเขตของน่านน้ำเท่านั้นเอง ซึ่งต่างคนต่างประกาศ จึงจะต้องใช้ MOU 44 มาเจรจากันในเรื่องที่ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน สิ่งสำคัญทุกสุดตรงนี้เป็นเรื่องการจัดสรรผลประโยชน์ทางทะเลที่จะต้องคุยกัน ซึ่งข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ที่สุดอยู่บนความพึงพอใจใน 2 ประเทศ ซึ่งประเทศไทยยืนยันว่าจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทยและรักษาทุกๆ อย่างที่คิดว่าจะอำนวยประโยชน์ให้คนไทยให้ได้มากที่สุด