ความพ่ายแพ้ต่อบอร์นมัธแบบสุดช็อกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดขึ้นหลังการระเบิดฟอร์มสุดโหดไล่ถล่มคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในระดับประวัติการณ์ถึง 7-0 เป็นการกระชากอารมณ์ของทีมลิเวอร์พูลในระดับกระทืบคันเบรกจนมิด
ทุกความรู้สึกดีๆ ที่ได้มาหายไปอย่างรวดเร็ว และเป็นการสะดุดที่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ซึ่งกำลังจะเผชิญกับช่วงโปรแกรมที่โหดที่สุดในฤดูกาลนี้ ที่จะเป็นการกำหนดชะตาอย่างแท้จริงของลิเวอร์พูล ไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะความหวังในฤดูกาลนี้ หากแต่ยังรวมไปถึงความหวังในฤดูกาลหน้าด้วย
โดยจุดเริ่มต้นของช่วงสุดโหดคือเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในคืนนี้ที่จะไปเยือนเรอัล มาดริด ในสภาพที่แทบไร้ซึ่งความหวัง
ย้อนกลับไปในการพบกันครั้งแรกที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลเริ่มต้นได้เหมือนฝันดีด้วยการได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 2-0 ในช่วงไม่ถึง 20 นาทีแรก ด้วยรูปเกมที่คึกคักปักกิ่ง และดูแล้วน่าจะสามารถล้างแค้นคู่ปรับที่ยัดเยียดความเจ็บปวดให้พวกเขาตลอดการพบกันหลายปีที่ผ่านมาได้เสียที โดยเฉพาะแค้นจากนัดชิงชนะเลิศในปี 2018 และ 2022 ที่ฝังใจ
แต่เกมกลับเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อเรอัล มาดริด ที่เจียนอยู่เจียนไปกลับมาตีเสมอได้ใน 2 ประตูของ วินิซิอุส จูเนียร์ โดยลูกแรกมาจากความสามารถอันยอดเยี่ยมของผู้เล่นริมเส้นฝั่งซ้ายที่อันตรายที่สุดในโลกเวลานี้ และอีกลูกคือความผิดพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งที่ทำพลาดไม่ได้ต่างอะไรจาก ลอริส คาริอุส อดีตผู้รักษาประตูที่เจอฝันร้ายในนัดชิงปี 2018 จนเสียคน
หลังจากนั้นก็เป็นทีมจากสเปนที่โชว์ชั้นเชิงที่เหนือกว่าค่อยๆ ไล่ทะลวงตาข่ายจนสุดท้ายจากที่ตามหลัง 0-2 กลับมาเป็นฝ่ายเอาชนะได้อย่างขาดลอย 5-2 เรียกว่าแทบจะปิดฉากรอบนี้ไปได้แล้ว
คล็อปป์เองก็ยอมรับสภาพหลังจบเกมที่แอนฟิลด์ว่า “การแข่งขันมันจบลงไปแล้ว” เพราะลิเวอร์พูลจะเข้ารอบได้ก็ต่อเมื่อบุกไปชนะเรอัล มาดริดด้วยผลต่างมากกว่า 4 ประตูขึ้นไป
แต่มันจบลงแล้วจริงๆ ใช่ไหม?
ในการให้สัมภาษณ์ก่อนเกมของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันดูเหมือนว่าเขาก็ไม่ได้จะตัดใจไปเสียทั้งหมด และจากที่เคยบอกว่า “มันจบแล้ว” ตอนนี้มองว่าลิเวอร์พูลยังมีความหวังอยู่
แม้จะมีแค่ 1% ก็ตาม!
“ผมมีความสุขที่ได้มาที่นี่ ถ้ามันจะมีโอกาสแค่ 1% ผมก็อยากจะลองดู” คล็อปป์กล่าวก่อนเกม “เรามาที่นี่เพื่อชนะการแข่งขัน ลำพังการมาเยือนที่นี่มันก็ยากอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก เรอัล มาดริด คือหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก ดังนั้นไม่ใช่จะมาเยือนแล้วหวังว่าจะชนะได้ แต่นั่นแหละคือเหตุผลที่เรามาที่นี่”
อย่างไรก็ดี คล็อปป์ยอมรับว่าสกอร์ที่ขาดลอยเป็นปัญหา เพราะถ้าอยากจะต่ออายุก็ต้องยิงให้ได้ถึง 3 ประตู
“แต่ไม่ใช่เราจะมานั่งกันที่นี่แล้วบอกว่า 3 ประตูไม่ใช่ปัญหา มันเป็นปัญหาแน่นอน และ 3 ประตูนี่คือจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราไม่โดนยิงเพิ่ม ถ้าเราโดนยิงเพิ่มก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก และจะทำให้ทุกอย่างแทบเป็นไปไม่ได้”
อย่างไรก็ดี ลิเวอร์พูลเคยทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้มาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้งในแชมเปียนส์ลีก
หนึ่งในนั้นคือเกมที่ถูกเรียกขานกันว่า ‘ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล’ ในนัดชิงชนะเลิศฤดูกาล 2004/05 ที่ลิเวอร์พูลภายใต้การนำของ ราฟาเอล เบนิเตซ ยอดผู้จัดการทีมชาวสเปนผู้เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในฤดูกาลนั้น หลังจากพาบาเลนเซียคว้าแชมป์ลาลีกา 2 สมัย และแชมป์ยูฟ่าคัพอีกหนึ่งสมัย ได้พบกับโคตรทีมอย่างเอซี มิลาน ที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์มากมาย
เกมนั้นทำท่าจะจบตั้งแต่ 45 นาทีแรก เมื่อมิลานได้ประตูนำห่างถึง 3-0 โดยได้ประตูตั้งแต่นาทีแรกจาก เปาโล มัลดินี กัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่ เอร์นาน เครสโป จะมาบวกเพิ่มอีก 2 ประตูในช่วงท้ายครึ่งแรก
แต่เมื่อกลับมาลงสนามใหม่ในครึ่งเวลาหลังลิเวอร์พูลสามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาแค่ 7 นาที ที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘7 นาทีแห่งความบ้าคลั่ง’ เมื่อ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมโหม่งทำประตูตีไข่แตกจุดประกายเป็น 3-1 ในนาทีที่ 51 ก่อนที่ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ จะยิงตีตื้นมาเป็น 3-2 และ ชาบี อลอนโซ จะแก้ไขลูกจุดโทษที่ยิงไปติดเซฟของดีดาด้วยการซ้ำเข้าไป ทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอเป็น 3-3 ได้อย่างเหลือเชื่อ
ก่อนที่สุดท้ายจะคว้าแชมป์ได้ในช่วงของการดวลจุดโทษ
เกมนี้ทำให้ ราฟาเอล เบนิเตซ เขียนคอลัมน์พิเศษใน The Times ว่า “ลิเวอร์พูลยังไม่สูญสิ้นความหวัง” โดยเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่าขณะนี้ทีมของคล็อปป์ก็อยู่ในช่วงของการพักครึ่งเวลา และเตรียมที่จะลงสนามในครึ่งเวลาหลังเหมือนทีมของเขาที่กลับมาแก้ไขทุกอย่างได้ที่สนามอตาเติร์กสเตเดียม
ราฟาเอลชี้ให้เห็นว่าถึงลิเวอร์พูลจะมีปัญหาในเรื่องความสม่ำเสมอในการเล่นอย่างรุนแรงในฤดูกาลนี้ แต่สิ่งที่เขามองเห็นคือ ‘เกมรุกที่ร้อนแรง’ ที่สามารถถล่มประตูคู่ต่อสู้ได้หากมีโอกาสและเด็ดขาดมากพอ
กุนซือชาวสเปน ผู้เคยมีโอกาสได้คุมเรอัล มาดริดเป็นระยะเวลาสั้นๆ ยังชี้ให้เห็นว่าในเกมแชมเปียนส์ลีกทุกอย่างเกิดขึ้นได้ และทุกอย่างพร้อมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เหมือนเช่นที่อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เคยเขี่ยเรอัล มาดริดตกรอบด้วยการบุกมาชนะ 4-1 ที่ซานติอาโก เบร์นาเบว ในปี 2019
หรือในปีกลายมาดริดเองก็พลิกนรกหลายครั้ง รวมถึงในวันที่โดนเชลซีนำ 3-0 แต่สุดท้ายรอดมาได้เพราะประตูของ โรดริโก และ คาริม เบนเซมา
ดังนั้นถ้าลิเวอร์พูลยิงได้ 2 ประตูขึ้นมา เบร์นาเบวจะเงียบกริบแน่นอน
ทีมของคล็อปป์เองก็เคยทำในสิ่งที่เหลือเชื่อมาแล้วเช่นกันในรอบรองชนะเลิศฤดูกาล 2018/19 เมื่อพลิกสถานการณ์จากการโดนบาร์เซโลนาชนะขาดลอย 3-0 ในเกมแรกที่คัมป์นู กลับมาเอาชนะได้ 4-0 ที่แอนฟิลด์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘คืนยุโรป’ (European Nights) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล
ทั้งๆ ที่วันนั้นพวกเขาไม่มี โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สองกองหน้าตัวหลักจนทำให้คล็อปป์ต้องใช้ เซอร์ดาน ชากิรี และ ดิว็อค โอริกิ แทน แต่ด้วยกำลังใจ (รวมถึงเสื้อ Never Give Up ที่ซาลาห์ใส่มาดูเกมในสนาม) การเริ่มต้นที่เหมือนฝันที่ได้ประตูแรกจาก ดิว็อค โอริกิ ในนาทีที่ 7 ก่อนที่ จินี ไวจ์นัลดุม จะบวก 2 ประตูติดกันในนาทีที่ 54 และ 56 ก่อนที่โอริกิจะยิงประตูจากลูกเตะมุมเร็วของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำให้ทีมได้ผ่านเข้าชิงก่อนไปชนะท็อตแนม ฮอตสเปอร์มาได้
แน่นอนว่าสถานการณ์ของเกมนี้แตกต่างจากเกมปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล หรือที่แอนฟิลด์เมื่อ 4 ปีก่อน ความยากดูจะมีมากกว่าเยอะ ยิ่งคืนนี้คล็อปป์จะไม่สามารถใช้งาน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม และ สเตฟาน บายเซติช ไอ้หนูดาวรุ่งที่เป็นเดอะ แบกให้ทีมในช่วงที่พี่ๆ กำลังเสียศูนย์ ทำให้ทีมประสบปัญหามากแน่นอนในแดนกลาง
แต่ลิเวอร์พูลไม่มีอะไรจะเสียในคืนนี้ พวกเขามีหน้าที่แค่ต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้มีอะไรจะต้องเสียใจอีก
ส่วนปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นไหม? นี่จะเป็นการคัมแบ็กที่สุดยอดที่สุดของแชมเปียนส์ลีกไหม?
ปล่อยให้โชคชะตานำพาไป
ภาพประกอบ: ธิดามาศ เขียวเหลือ
อ้างอิง