×

เกมดูด สส. งูเห่า กล้าธรรม(นัส) พันธมิตรใหม่เพื่อไทย มากกว่าแค่ปรับ ครม.

โดย THE STANDARD TEAM
16.05.2025
  • LOADING...
ธรรมนัส พรหมเผ่า นำทีม สส. พรรคกล้าธรรม เข้าสภา

‘กล้าธรรม’ เป็นพรรคที่มีพรรษาทางการเมืองไม่ถึง 1 ปี เป็นที่รู้จักของสาธารณชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 หลังจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้รับคัดเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ‘กล้าธรรม’ ได้กลายเป็นพรรคการเมืองที่ถูกจับตามองทางการเมืองมากที่สุด

 

ปัจจุบัน ‘กล้าธรรม’ เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร ได้รับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาดูแลแต่เพียงพรรคการเมืองเดียว และอยู่ภายใต้อาณัติของ ‘ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า’

 

ที่นั่ง สส. พรรคกล้าธรรม

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ย้อนกลับไป ‘กล้าธรรม’ เริ่มถูกสื่อมวลชน และประชาชนจับตามองมากขึ้น เมื่อ สส. จากพรรคเล็กเริ่มย้ายเข้า ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 กฤดิทัช แสงธนโยธิน สส. บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคใหม่ ถูกขับออกจากพรรค และในวันถัดมา เชาวฤทธิ์ ขจรพงศ์กีรติ สส. บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ก็ถูกขับออกจากพรรคเช่นกัน ต่อมาทั้งสองคนได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม

 

จากนั้นกลางเดือนตุลาคม 2567 บัญชา เดชเจริญศิริกุล สส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคท้องที่ไทย ได้ย้ายมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคกล้าธรรม และอีก 6 วันถัดมา ปรีดา บุญเพลิง สส. บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ซึ่งถูกขับออกจากพรรค ก็ได้เข้าร่วมพรรคกล้าธรรมเช่นกัน ส่งผลให้ ‘กล้าธรรม’ มี สส. ในสภารวมทั้งสิ้น 4 คน

 

จากนั้น สส. 20 คนจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ ‘ผู้กองธรรมนัส’ ได้ประกาศอิสรภาพและตัดความสัมพันธ์กับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก่อนจะย้ายเข้าพรรคกล้าธรรมในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2567

 

ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า สส. พะเยา นำ สส. นั่งเก้าอี้ในห้องประชุมสภา

สังกัดพรรคกล้าธรรมครั้งแรก

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

3 เดือนต่อมา ‘กล้าธรรม’ ก็กลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้ง หลังจบการโหวตอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงปลายเดือนมีนาคม เมื่อ สส. งูเห่า 7 คน แหกมติวิปฝ่ายค้าน ร่วมโหวตไว้วางใจ ‘นายกฯ แพทองธาร’ ให้ทำหน้าที่ผู้นำประเทศต่อไป ซึ่ง ‘กล้าธรรม’ ถูกจับตาว่าอาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเกมการเมืองครั้งนี้

หมายเหตุ: ‘งูเห่า’ ในทางการเมืองไทย เปรียบเปรยถึง สส. ที่ลงมติขัด หรือแย้งกับมติของพรรคการเมืองที่สังกัด เพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ จากฝ่ายที่ตนเองโหวตลงคะแนนให้ เปรียบเสมือนงูเห่าในนิทานอีสป ที่ได้รับการช่วยเหลือโดยชาวนา แต่กลับแว้งกัด ทำร้ายชาวนา ผู้มีพระคุณของตนเองจนถึงแก่ความตาย

 

ถูกใช้ครั้งแรกในปี 2540 โดย ‘สมัคร สุนทรเวช’ หัวหน้าพรรคประชากรไทยขณะนั้น กล่าวถึง สส. ลูกพรรค ไปยกมือโหวตให้ ‘ชวน หลีกภัย’ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พรรคประชากรไทยมีมติสนับสนุน พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ จนทำให้พรรคประชากรไทยต้องกลายเป็นฝ่ายค้านในสภา

 

7 เสียงงูฝ่ายค้าน

 

  • กาญจนา จังหวะ สส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ
  • ฐากร ตันฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย
  • รำพูล ตันติวณิชชานนท์ สส.อุบลราชธานี พรรคไทยสร้างไทย
  • สุภาพร สลับศรี สส.ยโสธร พรรคไทยสร้างไทย
  • หรั่ง ธุระพล สส.อุดรธานี พรรคไทยสร้างไทย
  • อดิศักดิ์ แก้วมุงคุณทรัพย์ สส. อุดรธานี พรรคไทยสร้างไทย
  • ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ พรรคไทยก้าวหน้า

 

แม้นายกรัฐมนตรีจะยืนยันมาโดยตลอดว่า ‘งูเห่า’ ไม่จำเป็น เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนในสภามากพออยู่แล้ว และไม่ต้องการเห็นภาพของ สส. งูเห่าในรัฐบาลด้วย แต่ศึกซักฟอกครั้งแรกของแพทองธาร กลับมีเสียงโหวตไว้วางใจถึง 322 เสียง สนับสนุนให้เธอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป

 

ธรรมนัส พรหมเผ่า นำทีม สส. พรรคกล้าธรรม เข้าสภา

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 

ขณะกำลังชี้แจงต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

จากนั้น ‘กล้าธรรม’ ก็เริ่มโชนแสงมากเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังคว้าชัยเลือกตั้งทางการเมืองครั้งแรกในการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งอดีตแชมป์เก่า ‘พรรคสีน้ำเงิน’ รวมถึงนักการเมืองสุดเก๋าจาก ‘พรรคสีฟ้า’

 

ชัยชนะครั้งนี้ ถือเป็นการพิสูจน์ความสามารถของ ร.อ. ธรรมนัสให้ ‘นายใหญ่’ ได้เห็นถึงพลังทางการเมืองของเขา ในการทะยานขึ้นสู่แนวหน้าให้พรรคเพื่อไทย เพื่อการขยายอิทธิพลครองพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงเป็นแนวต้านการรุกคืบของพรรคภูมิใจไทยที่ต้องการขยายฐานเสียงในภูมิภาคนี้ด้วย

 

จากนั้นได้ ‘เอกราช ช่างเหลา’ สส.ขอนแก่น ที่ถูกขับจากภูมิใจไทยในช่วงเวลาอันใกล้กันมาเพิ่มเป็น สส. คนที่ 26 ทำให้ ‘กล้าธรรม’ ก้าวขึ้นมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 4 ใน คณะรัฐมนตรี (ครม.) แพทองธาร

 

สองผู้นำพรรคกล้าธรรม:

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ และ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า 

ภาพ: ฐานิส สุดโต

 

หากพูดถึงการดึงนักเลือกตั้ง หรือคนการเมืองมาเข้าสังกัดเพิ่มแล้ว แกนนำคนสำคัญของพรรคพูดมาโดยตลอดว่า ยังมี สส. จากพรรคร่วมฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลอีกหลายคนที่รอคิวเข้าสังกัดพรรค ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ร.อ. ธรรมนัสกำลังเปิดยุทธการ ‘ดูด สส.’ เพื่อเสริมอำนาจต่อรองทางการเมือง

 

ระยะสั้น พรรคกล้าธรรมมีเป้าหมายเพื่ออำนาจการต่อรองที่สูง เพื่อโน้มน้าวใจให้นายใหญ่ขับพรรคสีน้ำเงินแห่งค่ายบุรีรัมย์ออกจากเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้กล้าธรรมมีโอกาสที่ได้เก้าอี้ ‘มท.1’ ที่ปัจจุบัน มี ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นั่งอยู่

 

ในระยะยาว วางเป้าหมายให้พรรคมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น โดยเพิ่มจำนวนสมาชิกพรรคและขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะการวางตัวเป็นแม่ทัพภาคใต้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2570 ด้วยเป้าหมายกวาดที่นั่งในภาคใต้ให้ได้มากที่สุด เพื่อสร้างฐานเสียงในพื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยเจาะเข้าไปได้สำเร็จ พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นตัวแทน ‘นายใหญ่’ ในการขยายอิทธิพลทางการเมืองสู่ภูมิภาคดังกล่าว

 

ขณะเดียวกัน ยังมุ่งหวังให้พรรคมี สส. ในมือ 40-50 คน เพื่อก้าวขึ้นเป็นพรรคตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล และมีบทบาทในฐานะผู้จัดการรัฐบาลในสมัยหน้า

 

กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส. ชลบุรี แถลงขอยุติบทบาทกับพรรคประชาชน

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

เห็นได้จากในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สร้างความฮือฮาให้กับคนในสังคม เมื่อ ‘กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์’ สส.เขต 6 ชลบุรี พรรคประชาชน แถลงประกาศยุติบทบาทกับพรรค ได้ยื่นหนังสือให้ขับออกจากพรรค พร้อมแสดงความประสงค์ที่อยากจะร่วมงานกับ ร.อ. ธรรมนัส เนื่องจากเชื่อมั่นว่า จะช่วยส่งเสริมให้แก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ ขณะที่ ‘กล้าธรรม’ เองก็หวังที่จะขยายสร้างอิทธิพลทางการเมืองในภาคตะวันออกด้วยเช่นกัน

 

ล่าสุด น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีต สส. กทม. อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ และการุณ โหสกุล อดีต สส. กทม. ได้ลาออกสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ทิ้งคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม โดยจะมีการพูดคุยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันนี้ (16 พฤษภาคม) เวลา 18.30 น.

 

รัฐธรรมนูญปี 60 ที่ออกแบบมาให้เกิดงูเห่า?

 

ขณะที่ ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD NOW ถึงการย้ายพรรคของบรรดา สส. อันเนื่องมาจาก รัฐธรรมนูญปี 2560 มีช่องโหว่ทางกฎหมายหรือไม่ว่า จริงๆ เหมือนรัฐธรรมนูญเปิดช่อง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นกัน แม้นตัวคิดอยากจะลาออก แต่หากพรรคไม่ยินยอม นับว่ามีข้อจำกัดอยู่

 

ฉะนั้นเรื่องนี้อยู่ที่กระบวนท่าด้วยเช่นกัน อาจจะไม่ใช่การเมืองใหม่ แต่เหมือนวัฒนธรรมการย้ายพรรคในอดีต เชื่อว่า เมื่อประชาชนเข้ามาอยู่ในสมการมากขึ้น จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และดีขึ้นในอนาคต

 

ย้อนดูข้อมูลจาก ‘โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน: ไอลอร์’ ระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสส. ในรัฐธรรมนูญ 2540 ไว้ว่า ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็งมากขึ้นด้วยการมีระบบเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และไม่เปิดโอกาสให้ สส. ย้ายพรรค ด้วยการกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.ต้องสังกัดพรรคการเมืองเป็นเวลาอย่างน้อย 90 วัน ก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อให้ผู้สมัคร สส. ได้ศึกษาถึงอุดมการณ์ของพรรคการเมืองที่ตนสังกัดเป็นระยะเวลาพอสมควรก่อน

 

การกำหนดระยะเวลาสังกัดพรรคก่อน 90 วัน ยังปิดทางไม่ให้ สส.ย้ายพรรคได้ เนื่องจากการกำหนดวันเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 หากมีการยุบสภาต้องจัดเลือกตั้งภายใน 60 วัน ซึ่งระยะเวลาไม่เพียงพอที่จะทำให้ สส. ย้ายพรรคได้ทัน

 

ดังนั้น การย้ายพรรคของ ส.ส. ลดลง ยกเว้นการยุบพรรครวมกัน และพรรคการเมืองมีความเข้มแข็งสามารถควบคุม สส.ได้เข้มข้น ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างรวดเร็ว

 

ขณะที่ รัฐธรรมนูญ 2560 ลดบทบาทของพรรคการเมืองในการควบคุม สส. ลงจากแต่ก่อน นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2521 เป็นต้นมา หากพรรคการเมืองมีมติขับ สส.ออกจากพรรค สส.จะต้องสิ้นสภาพความเป็น สส.ทันที เว้นแต่รัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ยังเปิดโอกาสให้ สส.ที่ถูกขับออกสามารถอุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

 

ขณะที่ข้อกำหนดในการย้ายพรรคของรัฐธรรมนูญ 2560 คล้ายกับรัฐธรรมนูญ 2550 คือ หากมีเหตุยุบสภาต้องสังกัดพรรค 30 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง เมื่อมีการยุบสภา รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดว่าต้องกำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้ สส. ย้ายจากพรรคการเมืองหนึ่งไปอีกพรรคการเมืองหนึ่งได้ง่ายขึ้น

 

ธรรมนัส พรหมเผ่า นำทีม สส. พรรคกล้าธรรม เข้าสภา

ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

https://drive.google.com/file/d/11BAO_qhZVLNzfIe6MQ04cdSpqRJbSl8p/view?usp=drive_link 

 

กระนั้นรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็เปิดโอกาสให้ สส. มีอิสระจากพรรคการเมืองมากขึ้น ในมาตรา 114 ระบุว่า “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร… ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม…”

 

ขณะที่ มาตรา 124 ที่ระบุว่า “ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร… หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาสมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด…”

 

เนื่องจาก สส. มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญจึงมีหลักประกันความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของ สส. ไว้ เพื่อให้ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้คำสั่งของพรรค หรือคำสั่งอื่นใด

 

แต่ สส. ที่ต้องสังกัดพรรคการเมืองในการลงเลือกตั้ง การทำตามมติของพรรคถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพรรคการเมืองในฐานะองค์กร มีบทบาทในการรวบรวมความต้องการของประชาชน และแสดงความต้องการผ่านกลไกของการทำหน้าที่ของ สส. จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ สส.จะต้องเดินตามแนวทางการทำงาน นโยบาย และอุดมการณ์ของพรรคการเมืองที่ตัวเองสังกัด

 

เขย่าเก้าอี้ ครม. แพทองธาร?

 

การเดินเกมการเมืองของ ‘กล้าธรรม’ ครั้งนี้ โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนเก้าอี้ในสภาผ่านยุทธการ ‘ดูด สส.’ ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงมากกว่า 300 เสียงอยู่แล้ว ถูกจับตามองว่า ร.อ. ธรรมนัส หวังใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของตน โดยมีเป้าหมายให้เกิดการปรับ ครม. รวมถึงเพิ่มโควตารัฐมนตรีให้ ‘กล้าธรรม’

 

ขณะเดียวกัน ในใจลึกๆ ยังมีความหวังที่จะคัมแบ็กสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีอีกครั้ง พร้อมกับเตรียมกำลังสำรอง สส. ไว้เป็นปัจจัยให้ ‘นายใหญ่’ พิจารณา หากในอนาคตเหนื่อยกับเกมการเมืองของพรรคภูมิใจไทย และปรับออกจากรัฐบาลดังที่กล่าวไปตอนต้น

 

การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับพิจารณากรณีขอบเขตพิจารณาคุณสมบัติรัฐมนตรี ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา อาจสะท้อนนัยสำคัญว่า การปรับ ครม. ครั้งต่อไป รัฐบาลอาจต้องยึดแนวทางตามมาตรฐานเดิมในการแต่งตั้งบุคคลมาเป็นรัฐมนตรี เหมือน ครม. ชุดปัจจุบัน

 

กล่าวคือ การแต่งตั้งรัฐมนตรีในอนาคตจำเป็นต้องผ่านการกลั่นกรองอย่างเข้มงวดจากคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยบุคคลที่มีคุณสมบัติสุ่มเสี่ยง หรือมีประวัติมลทินในอดีต อาจถูกกันออกจากรายชื่อเพื่อความปลอดภัยทางการเมือง

 

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้อนาคตนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร ต้องเผชิญความเสี่ยงเช่นเดียวกับ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ซึ่งต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังถูกร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า มีพฤติกรรมขาดความซื่อสัตย์สุจริต และละเมิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

 

จนทำให้ ร.อ. ธรรมนัส อาจยอมรับความจริง และเลือกที่เดินเข้าสู่การเดินเกมหลังม่านการเมืองแทน

 

แพทองธาร ชินวัตร และ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า

ในโอกาสดินเนอร์รับประทานอาหารของพรรคร่วมรัฐบาล

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ขณะเดียวกัน แม้นใครจะมองว่า ‘นายกฯ Gen Y’ อย่างแพทองธารจะดูยังขาดชั้นเชิง และดูหน่อมแน้มทางการเมือง แต่การที่ครม.เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ได้มอบหมายให้ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความขอบเขตพิจารณาคุณสมบัติรัฐมนตรี ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’ นั้น

 

ก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเขี้ยวทางการเมือง เพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯ ของเธอเช่นกัน แพทองธารอาศัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นเสมือน ‘รัฐกันชน’ ป้องกันแรงเสียดทานทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกงานกระทรวงเกษตรฯ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

 

หากพิจารณาจากการให้สัมภาษณ์ของร.อ. ธรรมนัสล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ยืนยันว่า “… เราพอใจที่ได้ดูกำกับแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนฤมล หัวหน้าพรรค และเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ”

 

“เป้าหมายหลักของเราคือต้องการครอบครัวกล้าธรรมให้เข้มแข็งขึ้น ผมในฐานะที่ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมก็จะลดบทบาทลง ให้นฤมล หัวหน้าพรรค รวมถึงบุคคลที่จะเข้ามาเสริมทัพ มีบทบาทมากขึ้น”

 

อาจอนุมานได้ว่า ร.อ. ธรรมนัส เลือกจะเล่นการเมืองเบื้องหลัง เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้มากบารมีหลังม่านการเมือง เหมือนนายใหญ่แห่งพรรคสีแดง หรือ ครูใหญ่แห่งพรรคสีน้ำเงิน แม้ไม่มีตำแหน่งใดๆ ในพรรค แต่ยังคงมีอำนาจสั่งการสูงสุดอยู่ 

เกมนี้อาจมากกว่าแค่ ปรับครม.

 

รศ. ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ร่วมวิเคราะห์กับ THE STANDARD ว่า พรรคกล้าธรรมเติบโตขึ้นได้ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญ และวางหลักไว้ให้เป็นรัฐบาลผสม

 

เมื่อรัฐธรรมนูญต้องการรัฐบาลผสม ก็ทำให้กลุ่มนักการเมือง กลุ่มทุน เห็นจังหวะโอกาสในการตั้งพรรค เพื่อที่จะเข้าไปสัประยุทธ์อำนาจมากกว่าอุดมการณ์ พรรคกล้าธรรมจึงมีลักษณะคล้ายกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘พรรคเฉพาะกิจ’

 

สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญกับภาวะคะแนนนิยมที่ลดต่ำลง โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคกลาง ซึ่งได้รับผลกระทบจากภาพลักษณ์ที่ ล้มเหลวของทักษิณ และภาพลักษณ์การบริหารประเทศที่ยังไม่ดีขึ้นของแพทองธาร แต่ขณะเดียวกัน พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลกลับมีอำนาจต่อรองสูงขึ้น

 

จากความตึงเครียดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ทำให้เกิดความจำเป็นในการตั้งพรรคเฉพาะกิจอย่าง ‘กล้าธรรม’ ขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยมีความมุ่งหวังที่ผลักพรรคภูมิใจไทยไปอยู่ฝ่ายค้าน และดำเนินคดีต่อแกนนำพรรคในคดีฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งอาจนำไปสู่การยุบพรรคในที่สุด โดยพรรคกล้าธรรมจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ในเชิงโครงสร้างมากที่สุด เนื่องจาก สส. จากภูมิใจไทยอาจไหลเข้าสู่ ‘กล้าธรรม’ มากขึ้น

 

รศ. ดร.โอฬาร มองว่า ขณะที่เกมการเมืองกำลังดุเดือด พรรคเพื่อไทยเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินเกมรุกอย่างหนัก ภายใต้สถานการณ์ที่เปรียบเสมือนทฤษฎี ‘ใครหักหลังก่อน คนนั้นชนะ’ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ พรรคภูมิใจไทยก็ไม่มีทางเลือก ต้องเดินเกมทำให้นายกฯหลุดเก้าอี้ ​เช่นกัน

 

ในมุมมองของ ดร.โอฬาร เชื่อว่ามีความพยายามในการ ‘ฮั้วซ้อนฮั้ว’ ในหมู่นักการเมือง เพื่อหาทางตกลงเรื่องคดีฮั้วเลือก สว. แต่กระบวนการทางกฎหมายกลับซับซ้อนและยากที่จะล้มคดีให้จบได้โดยไม่มีผู้รับผิดชอบได้ เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เดินหน้าทุกวัน

 

แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม หยุดกำกับดูแล DSI ไปแล้ว แต่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ที่ผู้กำกับดูแล DSI ยืนยันจะเดินหน้าตามกฎหมาย ส่วนท่าทีของ DSI ก็ยืนยันว่า คดีฟอกเงินและอั้งยี่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ DSI จะยังคงเดินหน้าต่อไป

 

จากสถานการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมใคร ทางออก คือ ต้องเปลี่ยนรัฐบาลเพื่อประวิงเวลา และอาจนำไปสู่กระบวนการนิติสงครามอีกรอบก็เป็นได้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising