×

KKP เตือนการคลังไทย ‘ถึงขีดจำกัด’ เสี่ยงกระทบเครดิตประเทศ ซ้ำรอยช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008?

04.11.2025
  • LOADING...
KKP เตือนการคลังไทย ‘ถึงขีดจำกัด’ เสี่ยงกระทบ เครดิตประเทศ ซ้ำรอย ช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2008?

KKP เตือนการคลังไทย ‘ถึงขีดจำกัด’ เสี่ยงกระทบเครดิตประเทศ เหมือนวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ที่ไทยรับมุมมองเป็นลบ ดันต้นทุนการเงินพุ่ง ซ้ำเติมเศรษฐกิจ พร้อมคาดอีก 2 ปีหนี้สาธารณะ เพดาน 70% จับตามาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) เตือนรัฐมีหนี้ที่ยังไม่รับรู้อีกคิดเป็นประมาณเกือบ 5% ของ GDP

 

วันนี้ (4 พฤศจิกายน) KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ‘บทวิเคราะห์เรื่อง KKP เตือนการคลังไทยถึงขีดจำกัด เสี่ยงกระทบเครดิตประเทศ’ โดยระบุ ข้อจํากัดทางการคลังกําลังกลายเป็นข้อจํากัดสําคัญของเศรษฐกิจไทย หลังจากที่บริษัทจัดอันดับ Credit Rating หลักทยอยปรับมุมมองที่มีต่อเศรษฐกิจไทยที่แย่ลง โดยเฉพาะผลกระทบผ่านช่องทางตลาดการเงินและต้นทุนทางการเงินของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

 

KKP ยังอธิบายว่า บริษัทจัดอันดับเครดิต (Credit Rating Agency) อย่าง Moody’s และ Fitch Ratings ออกมาปรับมุมมองความน่าเชื่อถือด้านการคลังของไทยลงจากมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นลบ (Negative) เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร โอกาสที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือมีมากกว่าโอกาสจะปรับเพิ่ม

 

นอกจากนี้ KKP ยังกล่าวต่อว่า “มีโอกาสที่ S&P Global Ratings จะปรับตามมาเร็ว ๆ นี้ โดยครั้งสุดท้ายที่ไทยได้รับมุมมองเป็นลบแบบนี้คือใน ช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008”

 

การเปิดเผยบทวิเคราะห์นี้ เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 (30 กันยายน 2568) อยู่ที่ 12.22 ล้านล้านบาท นับเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ สัดส่วนหนี้สาธาระณะต่อ GDP ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 (ณ วันที่ 30 กันยายน) อยู่ที่ 64.82%

 

KKP เตือนการคลังไทย ‘ถึงขีดจำกัด’ เสี่ยงกระทบ เครดิตประเทศ ซ้ำรอย ช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2008? 1

 

เจาะสาเหตุ Moody’s และ Fitch หั่นมุมมองไทย

 

โดยหนึ่งในสาเหตุสําคัญที่ทั้ง 2 บริษัทจัดอันดับพูดถึงตรงกัน คือ ‘ฐานะทางการคลัง’ และ ‘ศักยภาพของเศรษฐกิจไทย’ ที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะหลังจากโควิด-19 ทั้งหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายได้ภาครัฐที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ความพยายามรักษาฐานะการคลังจากแผนการคลังระยะปานกลางก็มักจะถูกเลื่อนออกไป

 

“หากไม่แก้ไขโดยเร็วก็มีโอกาสที่อันดับเครดิตจริง ๆ อาจถูกปรับลดลงในอนาคตได้” KKP เตือน

 

เปิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ หากไทยถูกลดอันดับเครดิต

 

สําหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อาจตามมาหากประเทศไทยถูกลดอันดับเครดิต KKP ระบุว่า ย่อมส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลและภาคธุรกิจที่ระดมทุนทั้งในและต่างประเทศปรับเพิ่มสูงขึ้น และจะมีผลกระทบซํ้าเติมในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกําลังอ่อนแอ

 

หนี้สาธารณะต่อ GDP มี จ่อทะลุเพดาน 70% ใน 2 ปี

 

KKP Research ประเมินว่าหนี้สาธารณะต่อ GDP มี โอกาสจะแตะเพดาน 70% ภายในปีงบประมาณ
2570 เร็วกว่าการประเมินของกระทรวงคลังล่าสุด ในปีที่แล้ว ที่คาดว่าจะไป ‘เฉียด’ เพดานในช่วงปีงบประมาณ 2572 เพราะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง

 

KKP เตือนการคลังไทย ‘ถึงขีดจำกัด’ เสี่ยงกระทบ เครดิตประเทศ ซ้ำรอย ช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2008? 2

 

KKP ชี้รัฐบาลซุกหนี้สาธารณะไว้ที่แบงก์รัฐฯ ถึง 5% ของ GDP

 

KKP กล่าวต่อว่า นอกจากการใช้จ่ายโดยตรงของรัฐบาลแล้ว รัฐบาลยังสามารถใช้นโยบายการคลังได้อีก 2 ช่องทาง ซึ่งปัจจุบันกําลังถึงขีดจํากัดเช่นเดียวกัน โดยช่องทางแรกคือมาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) ที่ดําเนินการผ่านรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้หรือรับประกันเงินกู้ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ

 

โดยปัจจุบัน ณ เดือน มิ.ย. 2025 อยู่ที่ระดับ 29% ของงบประมาณทั้งหมด จากเพดานที่กําหนดไว้ที่ 32% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท โดยในจํานวนนี้ส่วนหนึ่งมีการรับรู้ในหนี้สาธารณะไปแล้วและเหลือหนี้ที่ยังไม่รับรู้อีกคิดเป็นประมาณเกือบ 5% ของ GDP

 

ขณะที่ช่องทางที่ 2 คือการใช้มาตรการที่เป็นการสูญเสียรายได้ภาษี ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นผลกระทบมากขึ้น

 

KKP เตือนการคลังไทย ‘ถึงขีดจำกัด’ เสี่ยงกระทบ เครดิตประเทศ ซ้ำรอย ช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2008? 3

 

ทั้งนี้ มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 คือมาตราที่มุ่งควบคุมนโยบายกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) ของรัฐบาล โดยปัจจุบัน คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐได้กำหนดเพดานไว้ที่ 32% ของงบประมาณประจำปี

 

4 ทางออกที่ต้องเร่งดำเนินการ

 

KKP Research มองว่าทางออกที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นอย่างน้อยเพื่อรักษาอันดับเครดิตเอาไว้ได้ รัฐบาลจำเป็นต้องปรับตัวจากมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างการคลังในระยะกลาง โดยมีลำดับความสำคัญด้านนโยบาย 4 เรื่อง ดังนี้

 

1. การยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว — ผ่านการเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างแรงจูงใจต่อการลงทุนภาคเอกชน และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยในประเทศอยู่ระดับต่ำ หากอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเพราะความเสี่ยงด้านการคลังจะให้ทางเลือกของรัฐบาลลดลงอย่างรวดเร็ว

 

2. การเพิ่มศักยภาพด้านรายได้ของรัฐ — ด้วยการขยายฐานภาษี ลดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ ลดการยกเว้นภาษีที่ไม่จำเป็น และพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

3. การปรับโครงสร้างรายจ่ายภาครัฐ — โดยปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการ ปรับเป้าหมายการจัดสวัสดิการให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และลดการรั่วไหลจากคอร์รัปชันและรายจ่ายประจำที่ไม่มีประสิทธิผล

 

4. การสร้างกรอบวินัยการคลังที่น่าเชื่อถือ — ผ่านการจัดทำงบประมาณแบบหลายปี (multi-year budgeting) และการมีองค์กรอิสระด้านการคลัง ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล เพื่อช่วยยึดเหนี่ยวความคาดหวังของตลาด และสนับสนุนความน่าเชื่อถือด้านอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย

 

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising