×

KKP Research ชี้ซัพพลายเชนไทยเสี่ยงถูกกระทบหาก Tech War ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ทวีความรุนแรง แนะรัฐเร่งดึงต่างชาติใช้ไทยเป็นฐานผลิตชิป

06.09.2021
  • LOADING...
Tech War

KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า การแข่งขันและความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และกำหนดว่าใครจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในทศวรรษข้างหน้า โดยในช่วงที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้กับพลเมือง รวมไปถึงเพิ่มความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ประเทศได้ โดยสหรัฐฯ และจีนต่างออกนโยบายชิ้นสำคัญเพื่อยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศให้คงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ 

 

KKP Research มองว่าในปัจจุบันศูนย์กลางของความขัดแย้งในครั้งนี้อยู่ที่เทคโนโลยีสำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยี Cyber Security เพราะ 1. เซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญต่อทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 2. เซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีในการสื่อสารยังเป็นเหมือนกับมันสมองที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเทคโนโลยีทางการทหาร 3. การโจมตีทางด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่ออุตสาหกรรมที่สำคัญ จะให้ภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานมากยิ่งขึ้น  

 

บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า ในอนาคตข้างหน้าอุปสงค์ของเซมิคอนดักเตอร์จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตของตลาดในสาขาต่างๆ ได้แก่ Data Centers, Artificial Intelligence, 5G, Smartphone, Autonomous Vehicle เป็นต้น ในขณะที่อุปทานของเซมิคอนดักเตอร์มีความเปราะบางสูงต่อความเสี่ยงด้าน Supply Shock และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์นั้นกระจุกตัวอยู่แค่ใน 6 แหล่งเท่านั้น ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการผลิตชิปไฮเอนด์ระดับต่ำกว่า 10 นาโนเมตรที่กำลังการผลิตทั้งโลกกระจุกอยู่ในไต้หวันถึง 92% และเกาหลีใต้ 8% 

 

ด้วยเหตุนี้ หากห่วงโซ่อุปทานเผชิญกับ Supply Shock ต่างๆ จากภัยธรรมชาติ หรือหากไต้หวันต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางการทหารระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะรุนแรงมาก และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมภาคการผลิตและอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์อย่างสูง ด้วยเหตุนี้ทำให้สหรัฐฯ และจีนจำเป็นจะต้องมีนโยบายที่มุ่งเน้นไปยังการสร้างความมั่นคงในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์  

 

ในด้านเทคโนโลยี 5G จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้าน 5G ทั้งในด้านอุปกรณ์และในด้านการกำหนดมาตรฐานของ 5G ด้วยเหตุที่ Huawei ครอบครองสัดส่วนตลาดสูงสุด ซึ่งมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ ต้นทุนการติดตั้งที่ถูกกว่าถึง 30% เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ และนโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนที่ขยายการลงทุนจากจีนไปยังหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย  แอฟริกา และอเมริกาใต้ 

 

อย่างไรก็ตาม หลายประเทศมีความกังวลในเรื่องภัยสอดแนมและปัญหาความปลอดภัยข้อมูลจากอุปกรณ์ของ Huawei บางประเทศถึงขั้นออกมาตรการในการจำกัดการใช้อุปกรณ์จาก Huawei ในอนาคตข้างหน้าที่ความปลอดภัยไซเบอร์จะมีความสำคัญมากขึ้น อาจเพิ่มแรงกดดันที่ทำให้มาตรฐานของเทคโนโลยีแยกออกเป็นสองค่าย นั่นคือค่ายสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร และอีกฝั่งก็คือค่ายจีน 

 

หากมาตรฐานของเทคโนโลยีหรือโลกของอินเทอร์เน็ตถูกตัดขาดหรือแยกออกเป็นสองค่ายจริงๆ อาจทำให้ต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ผลิตภาพของโลกลดลง และอาจเร่งทำให้ห่วงโซ่อุปทาน การลงทุน และการค้าโลก เกิดการสับเปลี่ยนมากขึ้น ในกรณีนี้ประเทศไทยอาจถูกบังคับให้ต้องเลือกค่าย และต้องรับต้นทุนในการติดต่อสื่อสารรวมไปถึงต้นทุนในการเข้าถึงข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น 

 

ทั้งนี้ KKP Research ประเมินว่า การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ​ กับจีน รวมไปถึงความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ อาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้านหลัก ได้แก่  

 

  1. ความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานของการผลิตและราคาสินค้า ในอนาคตข้างหน้าที่เซมิคอนดักเตอร์มีความสำคัญต่อแทบทุกสินค้าและบริการ ทำให้ชิปมีความคล้ายคลึงกับน้ำมันที่จำเป็นอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ด้วยความที่ห่วงโซ่อุปทานชิปมีความเปราะบางและกระจุกตัวสูง หากเกิด Supply Shock จากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาจส่งผลกระทบส่งผ่านต่อราคาสินค้าและบริการอื่นๆ และทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มสูงขึ้น คล้ายกับวิกฤตน้ำมัน 

 

ในกรณีของประเทศไทย มีสัดส่วนการนำเข้า Integrated Circuits หลักจากมาเลเซีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น รวมกันสูงถึง 54% เพราะฉะนั้นหากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้รวมไปถึงไต้หวัน ลุกลามไปเป็นความขัดแย้งทางการทหาร ก็จะมีผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

  1. ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะขาดแคลนชิปจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิตรถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อไทย และพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์สูง นอกจากนี้หากอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยเปลี่ยนไปตามแนวโน้มใหม่ไม่ว่าจะเป็น EV และ Autonomous Vehicle มากยิ่งขึ้น ช็อกที่เกิดขึ้นต่อห่วงโซ่อุปทานอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการผลิตรถยนต์และการส่งออกรถยนต์ 

 

  1. ความเสี่ยงต่อการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นในอัตราที่เร็วยิ่งขึ้น และผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ในปัจจุบันไทยอยู่อันดับ 46 ของโลกที่มีความพร้อมในการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคต (Frontier Technology) มาใช้ ได้แก่ AI, Robotics และ Biotechnology หากประเทศไทยไม่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนากระบวนการผลิตแบบใหม่ และไม่ให้ความสำคัญในการป้องกันข้อมูล และลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางด้านไซเบอร์ อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทย และตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลกถดถอยอย่างต่อเนื่อง 

 

เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ KKP Research วิเคราะห์ว่าการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ไทยเป็นฐานการผลิตชิปเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่จะมีส่วนช่วยในการลดผลกระทบจากความเสี่ยง 

 

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่ใช่งานง่ายที่ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนในภาคการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากอุปสรรค 2 ข้อคือ 1. คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์และความสามารถในการดึงดูดผู้เปี่ยมศักยภาพ (Talent) ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ 2. จุดอ่อนของไทยในด้านกฎหมายธุรกิจและการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ภาครัฐควรให้ความสำคัญและเร่งพัฒนาในสองด้านนี้หากต้องการดึงดูดการลงทุนในด้านเซมิคอนดักเตอร์  

 

นอกจากนี้ การที่จะลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมไปถึงการรักษาตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลกในอนาคต ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีการติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด โดยภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายดังนี้ 

 

  1. ส่งเสริมและพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อให้ปรับตัวพร้อมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ 

 

  1. ลงทุนเพื่อพัฒนา Soft Infrastructure ได้แก่ ระบบฐานข้อมูล และ High-speed Broadband 

 

  1. ลดกฎระเบียบที่ยุ่งยาก และเพิ่มความชัดเจนของนโยบายทางภาษีและนโยบายส่งเสริมการลงทุน และส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพในไทย 

 

  1. ลงทุนในการเสริมความแข็งแกร่งด้าน Cyber Security และ Data Protection ทั้งในกิจกรรมของภาครัฐและภาคเอกชน โดยนโยบายที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ไทยสามารถพลิกจากความเสี่ยงที่มีผลกระทบขนาดใหญ่ กลายเป็นโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซอุปทานแห่งอนาคต และเพิ่มผลิตภาพให้กับเศรษฐกิจไทย  

 


 

เตรียมพบกับฟอรัมที่ผู้บริหารต้องดูก่อนวางแผนกลยุทธ์ปีหน้า! The Secret Sauce Strategy Forum คัมภีร์กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตปี 2022


📌
เฟรมเวิร์กกลยุทธ์ใช้ได้จริง
📌
ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทยโลก
📌
เทรนด์ผู้บริโภคการตลาด
📌
เคสจริงจากผู้บริหาร

 

ซื้อบัตรได้แล้วที่ www.zipeventapp.com/e/the-secret-sauce

 

#TheSecretSauceStrategyForum2022

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X