ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตในระดับต่ำเพียง 2-3% ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง หรือ Wealth Management กลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่แข่งขันดุเดือดที่สุด ด้วยอัตราการเติบโตที่สูงกว่า 10% ต่อปี สวนทางกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินแทบทุกแห่งต่างกระโดดเข้ามาเพื่อชิงส่วนแบ่งจากเค้กก้อนนี้
ล่าสุด กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP ได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับ Goldman Sachs Asset Management (GSAM) ผู้จัดการกองทุนระดับโลก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและหวังจะรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่สูงถึง 16% ต่อปีไว้ให้ได้
ณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล บล.เกียรตินาคินภัทร (มหาชน) ยอมรับว่าการประกาศความร่วมมือครั้งนี้อาจจะดูเหมือนเป็นผู้เล่นรายท้ายๆ ในตลาด แต่สำหรับ KKP ที่เชื่อมั่นในโลกาภิวัตน์และตลาดทุนที่เปิดกว้าง การเลือกพันธมิตรที่ใช่และมีความร่วมมือในเชิงลึกคือสิ่งสำคัญที่สุด
“ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย การเติบโต 16% ต่อปีที่ทำมาตลอดคงเป็นเรื่องยากในอนาคต ความจำเป็นของการมีพันธมิตรจึงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ” ณฤทธิ์กล่าว
รักษาการเติบโต 16% ต่อปี สู่ AUM 1 ล้านล้านบาท
ปัจจุบันธุรกิจ Asset Management ของ KKP มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เกือบ 9 แสนล้านบาท แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะเผชิญภาวะ K-Shape Recovery ที่ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ด้านบน แต่สำหรับธุรกิจ Wealth Management ที่โฟกัสลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ยังคงเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่โตราว 4-6%
“เราคาดหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้การเติบโตของ AUM ที่ 16% ต่อปี สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืนในอีก 5 ปีข้างหน้า และน่าจะทำให้เราเห็น AUM แตะระดับ 1 ล้านล้านบาทได้ภายในปีนี้”
ปัจจุบันพอร์ตของลูกค้า KKP มีการลงทุนในต่างประเทศ (Global Exposure) เพียง 20% ซึ่งณฤทธิ์มองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะนักลงทุนไทยไม่ควรมี Home Bias ที่สูงเกินไป
“คำแนะนำการลงทุนที่สำคัญที่สุดคือ Diversify, Discipline, Systematic หรือการกระจายความเสี่ยงอย่างมีวินัยและเป็นระบบ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกผสมผสานอยู่ในบริการ DPM (Discretionary Portfolio Management) ของเรา”
การจับมือกันระหว่าง KKP และ GSAM ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันที่ดุเดือด แต่คือการยกระดับการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของนักลงทุนไทยในยุคโลกาภิวัตน์
5 เทรนด์เปลี่ยนโลกบริหารความมั่งคั่งไทย
การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นท่ามกลาง 5 เทรนด์ใหญ่ที่กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์การลงทุนของคนไทยอย่างสิ้นเชิง
- ลดการยึดติดกับตลาดในประเทศ (Reduced Home Bias) ในอดีตคนไทยอาจลงทุนกระจุกตัวในประเทศ แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนเพียง 0.3% ของตลาดโลก การกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- การส่งต่อความมั่งคั่งระหว่างรุ่น (Generational Wealth Transfer) ระบบครอบครัวและธุรกิจแบบ ‘กงสี’ ของไทยกำลังเผชิญความท้าทาย เมื่อความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นและต้องมีการส่งต่อภายใต้บริบทของภาษีมรดก
- ความไม่แน่นอนของภาษีนอกประเทศ (Offshore Tax Uncertainty) เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต้องวางแผนอย่างรัดกุมมากขึ้น เพราะภาษีเป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่สำคัญ
- ทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย นอกเหนือจากหุ้นและตราสารหนี้ ปัจจุบันนักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment) ที่ซับซ้อนขึ้น เช่น Hedge Fund และ Private Market ทำให้ธุรกิจครอบครัวเริ่มปรับโมเดลการลงทุนคล้าย Endowment Fund ของมหาวิทยาลัยชั้นนำ
- การเข้ามาของผู้เล่นระดับโลก (Coming of International Players) ธนาคารระดับโลกต่างเข้ามาเปิดสำนักงานในไทยมากขึ้น ทำให้การแข่งขันเพื่อให้บริการลูกค้ากลุ่มความมั่งคั่งสูงยิ่งทวีความรุนแรง
“วันนี้แทบไม่เหลือข้อแตกต่างระหว่างการใช้บริการสถาบันการเงินในประเทศอย่างเรากับธนาคารต่างชาติ ทั้งในแง่ทางเลือกสินทรัพย์และการลงทุนตรงในต่างประเทศ แต่การจะทำเช่นนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงต้องมีพันธมิตรระดับโลก” ณฤทธิ์กล่าวเสริม
ความร่วมมือระหว่าง KKP และ GSAM
ความร่วมมือระหว่าง KKP และ GSAM ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การนำผลิตภัณฑ์มาขาย (Product Partnership) แต่เป็นการทำงานร่วมกันในแนวคิด ‘The Power of Two, One Philosophy of Wealth’ โดยมี 3 เสาหลักสำคัญคือ
- ที่ปรึกษาการลงทุน (Advisory) ในยุคที่ตลาดไทยถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยระดับโลกเป็นหลัก การมีมุมมองเชิงลึกจากทีมของ GSAM จะช่วยให้คำแนะนำการลงทุนของ KKP เฉียบคมและทันท่วงทียิ่งขึ้น
- กลยุทธ์การลงทุนหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset Strategy) KKP จะนำเสนอบริการบริหารพอร์ตการลงทุนแบบดุลยพินิจ (DPM) ที่ไม่ได้มองแค่การเลือกสินทรัพย์เป็นชิ้นๆ แต่เป็นการจัดสรรการลงทุนในทุกประเภทสินทรัพย์อย่างเป็นระบบเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยสำหรับลูกค้ากลุ่มความมั่งคั่งสูง (HNW/UHNW) จะเป็นรูปแบบพอร์ตการลงทุนที่ปรับตามคำแนะนำของ GSAM ส่วนลูกค้ากลุ่ม Mass Affluent จะอยู่ในรูปแบบกองทุนรวมตามระดับความเสี่ยง
- ธุรกิจสถาบัน (Institutional Business) ต่อยอดความร่วมมือไปยังกลุ่มลูกค้าสถาบัน
ด้าน ซาบรีนา แกน Managing Director, Goldman Sachs Asset Management กล่าวว่า “เรามองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านความมั่งคั่งในประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในระดับโลกมากขึ้น ความร่วมมือนี้ซึ่งผสานศักยภาพด้านการลงทุนระดับโลกของ Goldman Sachs Asset Management เข้ากับความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่นของ KKP จะเปิดโอกาสให้เราร่วมกันนำเสนอทางเลือกการลงทุนที่แตกต่างให้แก่นักลงทุนในประเทศไทย”
Goldman Sachs Asset Management จะทำหน้าที่ให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนด้านกลยุทธ์การลงทุนแบบหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset Strategy) ให้แก่ KKP เพียงรายเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ระหว่างการหารือถึงความร่วมมือในด้านอื่นเพิ่มเติม รวมถึงการที่ KKP อาจจะจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่นที่บริหารจัดการโดย Goldman Sachs Asset Management ด้วย
ปัจจุบันภูมิทัศน์ของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น คนรุ่นใหม่เริ่มมีบทบาทในการบริหารความมั่งคั่งของครอบครัว และความสนใจในสินทรัพย์ทางเลือกกำลังเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ประเด็นด้านภาษีของเงินลงทุนในต่างประเทศและการแข่งขันจากผู้เล่นต่างชาติก็ส่งผลต่อแนวทางการจัดพอร์ตของนักลงทุนไทย