หนึ่งใน Pain Point ของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยคือโอกาสเข้าถึงหุ้น IPO ที่มีไม่มากนัก ในอดีตที่ผ่านมาหุ้น IPO มักจะถูกจัดสรรให้กับนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนที่มีมูลค่าซื้อขายค่อนข้างสูง
ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์ เคเคพี ไดม์ จำกัด (KKP Dime) บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยสามารถจองซื้อหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) อย่างเท่าเทียม
เฉลิมวุฒิ ชมะนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านเทคโนโลยี (CTO) KKP Dime กล่าวว่า ด้วยระบบจองซื้อหุ้น IPO บนแพลตฟอร์มของ Dime และความร่วมมือกับ บล.เกียรตินาคินภัทร จะช่วยให้รายย่อยเข้าถึงหุ้น IPO ได้มากขึ้น แม้มีเงินทุนไม่มากก็สามารถเข้าถึงหุ้น IPO ได้
“ปกติโควตาหุ้น IPO จะจัดสรรให้กับรายย่อยน้อยมาก Dime ต้องการปฏิวัติและอยากให้รายย่อยเข้าถึง IPO อย่างเท่าเทียม ขณะเดียวกันก็อยากให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ส่วนหุ้น IPO ตัวแรกที่จะเปิดให้จองผ่าน Dime จะเปิดเผยรายละเอียดได้เร็วๆ นี้”
พัฒนาการที่สำคัญสำหรับ KKP Dime หลังจากเปิดให้บริการมาราว 1 ปี คือการที่บริษัทจะเปิดให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นไทยไปพร้อมกับหุ้นต่างประเทศที่ทำอยู่ก่อนแล้ว
อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า วันนี้ Dime จะเปิดให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นไทยเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ โดยสามารถซื้อขายไปพร้อมกับหุ้นต่างประเทศผ่านแอปพลิเคชันเดียวกันแบบไร้รอยต่อ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะช่วยให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งในอดีตอาจทำได้ยากกว่า แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันช่วยให้เป้าหมายเป็นไปได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเปิดให้นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนได้ด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 50 บาท และในอนาคตหวังว่าจะลดลงไปถึง 10 บาท อย่างความหมายของชื่อ Dime ที่แปลว่าเหรียญ 10 เซนต์
ด้าน กัมพล จันทวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KKP Dime กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ Dime คือการช่วยให้ทุกคนออมเงินและวางแผนการเงิน โดยมุ่งเน้นไปยังกลุ่มคนที่เริ่มมีเงินเก็บ ซึ่งอาจเป็นเพียงแค่เงินเล็กน้อย แต่สามารถนำมาต่อยอดได้
“สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ Dime คือทำให้เงินน้อยมีคุณค่า ที่ผ่านมา 91% ของคนที่ลงทุนผ่าน Dime ซื้อหุ้นแบบเศษหุ้น และ 53% ของรายการซื้อหุ้นสหรัฐอเมริกามีมูลค่าเฉลี่ยต่อไม้ต่ำกว่า 100 บาท”
ปัจจุบัน KKP Dime มีลูกค้าอยู่เกือบ 6 แสนราย และมีบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวราว 2 แสนบัญชี โดยลูกค้าปัจจุบันเป็นกลุ่ม Gen Y 54% และ Gen Z 32%
สำหรับปี 2567 บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้าเป็น 8 แสนราย และคาดหวังว่าจะมีลูกค้าที่เปิดบัญชีหุ้นไทยเพิ่มไม่ต่ำกว่า 1 แสนบัญชี
นอกจากการให้บริการลงทุนในหุ้นต่างประเทศและหุ้นไทย บริษัทมีแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในปีหน้า โดยเน้นให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เช่น ทองคำ เพื่อเป็นทางเลือกในการออมเงิน หรือประกัน เพื่อช่วยปกป้องความมั่งคั่งของลูกค้า ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยเงินไม่มาก
ภาษีเงินได้ต่างประเทศกระทบนักลงทุน
กัมพลให้ความเห็นถึงประเด็นภาษีเงินได้ต่างประเทศว่า คงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ยังคงต้องรอดูใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
- การเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม
- ความชัดเจนของหลักเกณฑ์ในการเก็บภาษี
- การเก็บข้อมูลเพื่อใช้คำนวณภาษี
“ภาษีดังกล่าวควรเก็บ แต่ต้องเก็บอย่างเป็นธรรม และอาจไม่ใช่ทุกคนต้องจ่ายเท่ากัน อย่างในสหรัฐฯ ภาษีกำไรจากการลงทุนสำหรับคนลงทุนยาวกับลงทุนสั้นมีอัตราต่างกัน หรือบางคนมีรายได้จากต่างประเทศแต่ใช้ทรัพยากรในไทย แต่บางคนมีรายได้ในไทยซึ่งเสียภาษีแล้ว และนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ อาจเป็นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน”