×

‘อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณ’ เรื่องราวคนธรรมดา ที่อยู่ในสายตาพระราชาของแผ่นดิน

โดย วยาส
27.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • นี่คือ 6 เรื่องราวของคนธรรมดาที่อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณของพระราชาของแผ่นดิน ตั้งแต่เรื่องราวของข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณที่ทำงานได้ดีเยี่ยมในสถานการณ์วิกฤต จนถึงเรื่องราวของเด็กชายที่เมื่อหมดหนทางก็บรรจงเขียนจดหมายลงท้ายกระดาษว่า “พระเจ้าอยู่หัวช่วยผมด้วยนะครับ”

ช่วงสี่ทุ่มของวันที่ 10 กรกฎาคม นายณรงศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหาย (ศอร.) ในชุด ‘สวมหมวกสีฟ้าและผ้าพันคอสีเหลืองพระราชทาน ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายพระราชทานในโครงการจิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ’ ได้แถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นภารกิจช่วยทีมหมู่ป่าออกจากถ้ำหลวง หนึ่งในสาระสำคัญที่ถูกวางไว้ลำดับแรกคือ การย้ำว่า

 

“เหตุการณ์นี้อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้พระราชทานสิ่งของต่างๆ ที่ทางเราไม่สามารถหาได้ จนมีความสำเร็จเกิดขึ้น”… “ภารกิจจะสำเร็จไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม”

สอดคล้องกับที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2561 ว่า

 

“พระองค์ท่านทรงติดตามทุกข่าว ดังนั้นการเสนอข่าวอะไรไป ท่านทอดพระเนตรหมด และพระราชทานแนวทางกลับมา นี่คือสิ่งที่เรียกว่า พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม”

 

ประโยคของผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ฉายภาพให้เห็นถึงพสกนิกรคนธรรมดาสามัญในแผ่นดินไทย กับพระราชาของแผ่นดิน ว่าดำเนินไปในรูปแบบที่เรียกได้ว่า ‘อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณ’

 

 

ให้หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ยังได้รับของขวัญที่ควรแก่การชุ่มชื่นใจที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชหัตถเลขาเป็นการส่วนพระองค์ต่อท่านผู้ว่าฯ โดยทรงพระราชทานกำลังใจและชื่นชมการทำงานของท่านผู้ว่าฯ พระราชหัตถเลขาให้เห็นว่า เรื่องราวของข้าแผ่นดินอยู่ในสายพระเนตรพระกรรณอยู่เสมอ

 

‘เรื่องเล็กน้อยที่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ทรงวินิจฉัยเอง

เมื่อมองย้อนกลับไปจะพบว่า เรื่องราวของพสกนิกรคนธรรมดาที่อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณปรากฏให้เห็นอยู่โดยตลอด เช่นที่เกิดขึ้นกับ ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค นักประพันธ์เพลงเฉลิมพระเกียรติคนสำคัญในยุคร่วมสมัย

 

วันที่ 12 พฤษภาคม 2560 นิติพงษ์โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งมีผู้คนติดตามอยู่เป็นจำนวนมาก เล่าเรื่องราวที่ตัวเขาประทับใจ

 

“เห็นในหลวง ร.10 ทรงเวียนเทียนวิสาขบูชากับพระธิดา จู่ๆ ก็ลงจากรถพระที่นั่ง ฝนตก ทรงพระดำเนินตั้งแต่ถนนหน้าพระลานจนถึงศาลหลักเมือง ทรงเปียกแน่นอน พระกลด (ร่ม) เป็นแค่สัญลักษณ์ แต่ไม่ช่วยกันแดดกันฝนได้สักเท่าไรดอก … วันนี้ รัชกาลที่ 10 ต้องทรงรับพระราชภาระต่อจากพระบรมชนก ในวันที่บุคคลทั่วไป  ข้าราชการ มีอายุต้องเกษียณ ต้องพักแล้ว แต่กลับต้องเป็นงานใหม่ และงานใหญ่ สำหรับพระองค์ท่านที่ต้องรับราชภาระมหามรดกแห่งชาติ มานั่งคิดกันเถิด ว่าจะทรงต้องเครียดขนาดไหน ทรงเป็นรัชทายาทด้วย ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่งด้วย”

 

ข้อความนี้ถูกแชร์มหาศาล แต่ใครจะรู้ว่า ข้อความที่นิติพงษ์โพสต์จะไปถึงพระเนตรพระกรรณในที่สุด นิติพงษ์เล่าถึงเหตุการณ์นี้ผ่านเฟซบุ๊ก

 

“และที่ทำให้ฉันตกใจระคนปลาบปลื้มจนบรรยายความรู้สึกมิได้นั่นคือ ข้อความนั้น ถึงพระเนตรพระกรรณ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้อ่านข้อเขียนนั้นด้วย”

 

 

นิติพงษ์ได้รับสายโทรศัพท์จากข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ โทร.มาแจ้งให้ทราบว่า

 

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งต่อทุกท่านที่ร่วมอ่านร่วมแบ่งปันถวายพระพรในเฟซบุ๊ก ดังข้อความต่อไปนี้

 

“ทรงรู้สึกปลาบปลื้มในน้ำใจและความปรารถนาดีที่ท่านทั้งหลายได้แสดงต่อพระองค์ท่าน ทำให้พระองค์ท่านมีกำลังพระทัยที่จะปฏิบัติพระราชกรณียกิจร่วมกับท่านทั้งหลาย ด้วยความสุขและเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติและประชาชน และทรงฝากคำขอบใจและพระราชทานกำลังใจมาสู่ทุกท่านในโอกาสนี้

 

“อนึ่ง ได้ทรงรับสั่งเพิ่มเติมว่า มิได้เป็นการลำบากแต่ประการใดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทรงทักทายประชาชนในโอกาสต่างๆ ตรงกันข้าม ทรงเกรงใจและห่วงใยที่ประชาชนได้อดทนนั่งรอเฝ้าท่ามกลางสายฝนจริงๆ”

 

นิติพงษ์ได้รับเชิญให้เข้าไปที่สำนักราชเลขานุการในพระองค์ในวันถัดมา เพื่อรับพระราชทาน ‘ซองกระดาษสีขาวขนาด A4 ซองหนึ่งอยู่บนพาน’

 

“เมื่อเปิดดูภายในซอง ได้ดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาดู เป็นลายมือที่เขียนข้อความเดียวกันกับพระราชกระแสรับสั่งที่ฉันได้เขียนเล่าไว้ในสถานะเมื่อวานนี้ …เห็นลายมือก็รู้ทันทีว่า นี่คือร่างต้นฉบับ และเข้าใจว่าทำไมกระดาษแผ่นนี้ถึงอยู่บนพาน”

 

นิติพงษ์สรุปรวบยอดถึงเหตุการณ์นี้ว่า

 

“แม้เรื่องเล็กน้อยที่เราไม่คิดว่าเจ้าฟ้ามหากษัตริย์จะทรงวินิจฉัยเอง จะทรงทำด้วยพระองค์เอง …หลายเรื่องเล็กน้อย แต่มีเป็นพันเป็นหมื่นเรื่อง เราเคยเชื่อว่า ท่านคงจะทรงสั่งให้ผู้อื่นไปทำให้ โดยที่ไม่ต้องถวายรายงานไปเสียทุกเรื่องนั้น ไม่จริงเลย…”

 

‘ทรงรับสั่งจัดหาเบาะรองนั่ง’

ในคราวจัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ หนึ่งในเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่จดจำของคนไทยคือ ทรงรับสั่งให้จัดหาเบาะรองนั่ง ดังปรากฏว่า พล.อ.ท. ภักดี แสงชูโต ผู้ช่วยราชเลขาธิการในพระองค์ เผยว่า

 

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยประชาชนที่จะมาร่วมพระราชพิธีฯ โดยทรงเห็นว่า อากาศร้อนแดดแรงทำให้พื้นปูน พื้นซีเมนต์ที่ประชาชนนั่งยิ่งร้อน จึงมีรับสั่งให้จัดหาเบาะรองนั่งมาปูบนพื้นตลอดแนว เพื่อบรรเทาความร้อน และทรงฝากขอบใจในความจงรักภักดีที่ประชาชนหลั่งไหลมาเข้าร่วมพระราชพิธีฯ จึงฝากเจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนให้ดี อย่าดุหรือเข้มงวดกับประชาชนมากเกินไป”

 

 

เมื่อย้อนกลับไปก่อนมีรับสั่งเช่นนี้ ก็ปรากฏเป็นข่าวว่า มีการแพร่ภาพตำรวจที่ถวายความปลอดภัย บางรายมีอาการผิวหนังพุพอง เป็นตุ่มใสขนาดใหญ่ที่บริเวณหัวเข่าข้างซ้าย เป็นผลจากความร้อนของพื้นถนน โดย ร.ต.อ. กัมปนาถ จันทร์ศรีบุตร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ดูแลความปลอดภัย และถวายเกียรติยศต่อริ้วขบวนพระบรมราชอิสสริยยศ 2 ข้างทาง กล่าวว่า

 

“ขณะปฏิบัติหน้าที่ สภาพอากาศค่อนข้างร้อน ขณะนั้นรู้สึกเหมือนผิวหนังถูกความร้อนแผดเผาเป็นเวลานาน ซึ่งตนมีเพียงกางเกงคอยซับความร้อนเพียงชั้นเดียว และยอมรับว่ารู้สึกร้อนจนชา และเมื่อตนไปจับที่หัวเข่าด้านซ้าย รู้สึกเหมือนมีตุ่มขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา”

 

เมื่อย้อนดูเหตุและผลที่เป็นไปเช่นนี้ รับสั่งดังกล่าวจึงนับว่าเป็นผลจากการที่เรื่องราวแบบนี้อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณโดยแท้

 

พระราชทานกำลังใจให้ ‘ตูน-ก้าวคนละก้าว’

เมื่อ ตูน บอดี้สแลม หรืออาทิวราห์ คงมาลัย ออกวิ่งในโครงการก้าวคนละก้าว ตั้งเป้าวิ่งจากใต้สุดไปเหนือสุด เมื่อผ่านการวิ่งไป 12 วัน รวมระยะทางกว่า 572 กิโลเมตร จากเป้าหมายระยะทาง 2,215.4 กิโลเมตร ตูนก็ได้รับพระราชทานกำลังใจที่ชุ่มชื่นใจอย่างยิ่ง เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.ท. ภักดี แสงชูโต ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ เชิญสิ่งของพระราชทานมาให้ตูนและทีมงานก้าวคนละก้าว

 

 

ตูนเข้ารับพระราชทานสิ่งของเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ทั้งดอกไม้พระราชทาน อาหารเสริมไทยของสำนักพระราชวัง และขนมไทย ซึ่งจัดทำขึ้นที่ห้องเครื่องสำนักพระราชวัง “ทรงให้อัญเชิญพระราชกระแสรับสั่งมาถึงตูนและคณะ พระองค์ท่านทรงเป็นกำลังใจให้ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง และปฏิบัติภารกิจที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ”

 

สื่อฉบับหนึ่งรายงานด้วยว่า “ตลอดเวลาที่รับฟังรับสั่ง ตูนและคณะ โดยเฉพาะก้อย รัชวิน น้ำตาคลอด้วยปลื้มปีติตลอดเวลา”

 

ถ้าถึงพระเนตรพระกรรณ ท่านจะทำสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์สุขของราษฎร’

ต้นปี 2561 ถึงที่สุดแล้ว อัยการทหารมีคำสั่งไม่ฟ้อง ส.ศิวรักษ์ ปัญญาชนสยาม ในคดีหมิ่นสมเด็จพระนเรศวรฯ ด้วยเหตุว่าหลักฐานไม่เพียงพอ ถือว่าคดีความที่ดำเนินมาเป็นอันยุติ หลังทราบผลคำวินิจฉัย สุลักษณ์ให้สัมภาษณ์หน้าศาลทหารว่า

 

การตัดสินใจของอัยการ เป็นผลมาจากการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

 

“ผมเชื่อว่า พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ในหลวงองค์นี้ท่านทำอะไรต่างๆ ปิดทองหลังพระเยอะ และคดีผมเนี่ย ถ้าไม่ได้พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ไม่มีทางหลุด ถ้าไม่ได้พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม คดีผมไม่มีทางสิ้นสุดหรอก” (คัดจากบีบีซีไทย)

 

 

สุลักษณ์ยังให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย หลังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ในหลวง ร. 10

 

“พระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ท่านทรงมีความยุติธรรม ท่านรู้เรื่องอะไรแล้ว ถ้าถึงพระเนตรพระกรรณ ท่านจะทำสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์สุขของราษฎร

 

“พระองค์ท่านมีพระราชอำนาจที่จะแนะนำรัฐบาลได้ แนะนำแล้ว ไม่เชื่อท่านก็ได้ แต่ก็เคราะห์ดี เขาก็เกรงพระบรมเดชานุภาพ เขาสั่งยุติคดีผม

 

“ผมได้เข้าเฝ้ากราบบังคมทูล ทรงมีพระราชหฤทัยกว้างขวาง ได้รับฟังพระราชดำรัสแล้ว ท่านรู้มาก รู้ลึก รู้กว้าง ทรงห่วงใยประชาชนพลเมือง” (คัดจาก บีบีซีไทย)

 

‘พระเจ้าอยู่หัวช่วยผมด้วยนะครับ’

ด.ช.อีฟฟราน วัย 12 ปี หาวิธีช่วยเหลือพี่ชายของเขาที่เป็นมะเร็งและปอดติดเชื้อด้วยการเขียนจดหมายหาในหลวง ร.10 เมื่อคนเล็กคนน้อยหมดหนทาง พวกเขานึกถึงวิธีการนี้อยู่เสมอ เพราะเชื่อมั่นว่าทางออกในชีวิตจะเกิดขึ้นได้และเป็นไปได้ เปิดจดหมายที่เขียนด้วยลายมือออกอ่าน เด็กชายบรรจงเขียนว่า

 

“ถึงพระเจ้าอยู่หัว ผมชื่อ ด.ช.อีฟฟราน อายุ 12 ปี ผมอยากให้พระเจ้าอยู่หัวช่วยรักษาพี่ชายของผม พี่ชายของผมชื่อ เรฟาดี้ อ้นบุตร อายุ 13 ปี พี่ผมเป็นมะเร็งและปอดติดเชื้อ ผมอยากให้พี่ผมหาย แล้วกลับมาเล่นกับผม ผมมีพี่ชายคนเดียว พระเจ้าอยู่หัวช่วยผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”

 

พร้อมวาดภาพประกอบ เป็นภาพพี่ชายของเขาในห้องพักผู้ป่วย ที่ฝาผนังของห้องนั้นคือ ภาพในหลวง ร.10

 

 

ความหวังของอีฟฟรานที่ต้องการช่วยชีวิตพี่ชายปรากฏขึ้นจริง เมื่อพบว่า ทันทีที่เรื่องนี้ถูกแชร์สู่โลกออนไลน์ “เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่อง ก็รับสั่งให้เรฟาดี้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ทันที” พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญแจกันดอกไม้และกระเช้าสุขภาพพระราชทานเยี่ยมอาการป่วย

 

พ่อของเรฟาดี้เล่าบทสนทนาระหว่างตัวเขากับผู้แทนพระองค์ว่า

 

“ทราบจากผู้แทนพระองค์ว่า พระองค์ท่านทรงห่วงใย และมีกระแสรับสั่งให้ทางทีมแพทย์ดูแลน้องฟาดี้อย่างดีที่สุด และให้ส่งความคืบหน้าของอาการป่วยไปยังสำนักพระราชวังให้ทรงทราบทุกวัน”

 

Photo: LILLIAN SUWANRUMPHA / AFP

 

นี่คือ 6 เรื่องราวของคนธรรมดา ที่อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณของพระราชาของแผ่นดิน ตั้งแต่เรื่องราวของข้าราชการต่างพระเนตรพระกรรณที่ทำงานได้ดีเยี่ยมในสถานการณ์วิกฤต ทรงไม่เพียงชื่นชมสิ่งที่ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ทำในวันนี้ แต่ทรงล่วงรู้ถึงสิ่งที่ผู้ว่าฯ ทำในอดีตด้วย

 

เรื่องราวของนักแต่งเพลงรายหนึ่งที่โพสต์ข้อความเล่าความประทับใจของเขาต่อในหลวงพระองค์ใหม่ โดยไม่คาดคิดว่า ข้อความนั้นจะไปถึงพระเนตรพระกรรณ แต่ก็ไปถึงจนได้

 

เรื่องราวของการก้าวคนละก้าวของตูน เพื่อก้าวที่แข็งแรงของคนอื่น ซึ่งถือเป็นการทำความดีด้วยหัวใจ เป็นตัวอย่างของการทำงานจิตอาสา ซึ่งเมื่อรู้ถึงพระเนตรพระกรรณ ก็ทรงพระราชทานกำลังใจมาให้ตูน หลังผ่านการวิ่งที่ 500 กิโลเมตรแรก

 

 

เรื่องราวของปวงพสกนิกรที่ต้องการมาถวายความอาลัยที่ต้องเผชิญกับความร้อนของพื้นปูนรอบสนามหลวง จนได้มีรับสั่งให้จัดหาเบาะรองนั่งมาบรรเทาความร้อน

 

และเรื่องราวของเด็กชายที่เมื่อหมดหนทาง ก็บรรจงเขียนจดหมายลงท้ายกระดาษว่า “พระเจ้าอยู่หัวช่วยผมด้วยนะครับ” และพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานความช่วยเหลือมาในทันที

 

เหมือนที่สุลักษณ์ ปัญญาชนสยาม ได้ให้สัมภาษณ์หลังมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า “ถ้าถึงพระเนตรพระกรรณ ท่านจะทำสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์สุขของราษฎร”

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X