ภาพของคิม จูเอ และบิดา คือ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่ได้รับการต้อนรับจากทางการจีนหลังเดินทางด้วยรถไฟหุ้มเกราะถึงกรุงปักกิ่ง ก่อนที่จะเข้าร่วมพิธีสวนสนาม ฉลอง 80 ปี วันแห่งชัยชนะเหนือกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 วานนี้ (3 กันยายน) จุดกระแสความสนใจจากทั่วโลกที่มองว่า การเปิดตัวบุตรสาวสู่สายตาชาวโลกครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจน ว่าคิม จูเออาจมีโอกาสสืบทอดตำแหน่งผู้นำเกาหลีเหนือต่อจากบิดา
ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) เผยให้เห็นคิม จูเอ ในชุดสูทสีน้ำเงินกรมท่ายืนอยู่ข้างหลังบิดา ซึ่งถือเป็นภาพการร่วมทริปเยือนต่างประเทศกับบิดาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก และยิ่งเป็นการตอกย้ำกระแสข่าวลือว่า เธอกำลังถูกเตรียมให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำหญิงคนแรกของเกาหลีเหนือ
คิม จูเอถูกระบุตัวตนครั้งแรกโดยเดนนิส ร็อดแมน อดีตนักบาสเกตบอล NBA ซึ่งอ้างว่าได้อุ้มลูกสาวตัวน้อยของผู้นำเกาหลีเหนือระหว่างการเยือนเปียงยางในปี 2013
ที่ผ่านมา รัฐบาลเปียงยางยังไม่ยืนยันอายุหรือชื่อของเธอ แต่คาดว่า คิม จูเอ น่าจะมีอายุราว 12 หรือ 13 ปี
ในอดีต สื่อกระบอกเสียงของรัฐบาลเกาหลีเหนือที่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดไม่เคยรายงานข่าวเกี่ยวกับลูกๆ ของคิม จองอึนเลย จนกระทั่งคิม จูเอ ปรากฏตัวพร้อมกับเขาในการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปในปี 2022 ซึ่งหลายเดือนต่อมา เธอยังได้เคียงข้างบิดาไปร่วมชมขบวนพาเหรดเนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งกองทัพประชาชนเกาหลี และสื่อของรัฐเริ่มเรียกเธอว่า “บุตรสาวที่น่าเคารพ” ของผู้นำคิม
ขณะที่คิม จูเอไม่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะ แต่ค่อยๆ ปรากฏตัวในคณะผู้ติดตามของบิดา เดินทางไปปฏิบัติภารกิจสำคัญต่างๆ ทั่วเกาหลีเหนือ รวมถึงการสังเกตการณ์การทดสอบขีปนาวุธ และล่าสุดคือการเปิดตัววอนซาน คัลมา รีสอร์ทบนชายฝั่งตะวันออกของประเทศ
ชอง ซองชาง (Cheong Seong-Chang) รองประธานสถาบันวิจัยเซจง ในกรุงโซล เชื่อว่า “ผู้นำเกาหลีเหนือกำลังส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังประชาคมระหว่างประเทศว่า คิม จูเอ จะขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา”
เขายังมองว่าการเดินทางเยือนจีนร่วมกับบิดาครั้งนี้ เป็นโอกาสอันหาได้ยากสำหรับเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่จะได้ฝึกฝนทักษะทางการทูต
ขณะที่ลิม อึลชอล ศาสตราจารย์ด้านเกาหลีเหนือศึกษา มหาวิทยาลัยคยองนัม เกาหลีใต้ กล่าวว่า “การพาลูกสาวไปเยือนจีนครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า คิม จองอึน ตั้งใจที่จะให้คิม จูเอ ได้ขึ้นเวทีระหว่างประเทศเพื่อปลูกฝังความคุ้นเคยกับภารกิจทางการทูต”
อ้างอิง:
