ถ้ามองจากทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและหน้าที่การงานของแต่ละคน สิ่งที่เรามองเห็นจาก พ.อ. วันชนะ สวัสดี หรือผู้พันเบิร์ด กับ เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ คือลูกผู้ชายสองขั้วที่แตกต่าง และไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้ง่ายๆ
จนกระทั่งล่าสุดที่ทั้งคู่ต้องมารับบทเป็นเสือฝ้ายและเสือใบ จอมโจรผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคกลางจากภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์ 2 ที่ทำให้เราเห็นเคมีบางอย่างที่น่าสนใจจากความแตกต่างของพวกเขาทั้งคู่
THE STANDARD มีโอกาสชวนทั้ง 2 คนมาพูดคุยถึงแง่มุมในทุกๆ มิติของคำว่า ‘เสือ’ ที่พวกเขาได้รับในเรื่อง ไปจนถึงมุมมองความรักในฐานะ ‘เสือเบิร์ดและเสือเป้’ ที่คนหนึ่งไม่เคยผิดหวังเรื่องรักมาตั้งแต่ ป.6 ส่วนอีกคนหนึ่งต้องเรียนรู้จากความเจ็บปวดของความรักมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
(ขุนพันธ์ เสือฝ้าย และเสือใบ ในพิธีสาบานตนเป็นพี่น้องร่วมสาบาน)
นิยามคำว่าเสือในความหมายของพวกคุณคืออะไร
เบิร์ด: ในบริบทของผม เสือกับโจรใกล้กัน เพียงแต่ว่าเสือมีเรื่องของระเบียบวินัย มีความเป็นสุภาพบุรุษ ดังนั้นเราจะเห็นว่าในหมู่โจรต่างคนก็ถืออาวุธ ดังนั้นเขาฆ่ากันได้ทุกเมื่อ แต่เสือไม่ใช่อย่างนั้น เสือมีคำมั่นสัญญา มีระเบียบวินัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของหัวหน้า อย่างเช่นในเรื่อง ขุนพันธ์ 2 เสือฝ้ายเป็นหัวหน้า คุมลูกน้องที่มีปืนกันหมด ดังนั้นเขาสามารถฆ่าเสือฝ้ายได้ตลอดเวลา แต่เขาไม่ทำ เพราะมีคำมั่นสัญญา มีความรัก มีความเคารพต่อกัน ทั้งที่เสือฝ้ายสั่งให้ไปตายเขาก็ยอมนะ เพราะมันอยู่กันด้วยใจจริง มันเป็นการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในชุมชนที่เรียกว่าเสือ
เป้: สำหรับผม สมัยนี้เวลาได้ยินคำว่าเสือ เขามักจะใช้ในแง่ของเสือผู้หญิง เสือหิว เสือโหยมากกว่า ซึ่งมันเป็นคนละเสือกับในเรื่อง ในหนังจะมีประโยคที่เสือใบเรียกลูกน้องเข้าไปสู้ โดยใช้คำว่า “ไอ้เสือบุก ไอ้เสือถอย” ในความคิดของผมอาจไม่ตรงกับพี่เบิร์ดเท่าไร ผมคิดว่าเขาไม่อยากเรียกตัวเองให้เป็นโจรหรอก แต่เขาให้เกียรติลูกน้องของเขา เพราะคำว่าเสือมันดูเท่กว่าการเป็นโจร เสือคือคำที่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แต่เดี๋ยวนี้ความหมายมันจะดูไปในทางลดคุณค่าของกันมากกว่า
ซึ่งเป้เองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเสือผู้หญิงเหมือนกัน
เป้: มีช่วงหนึ่งที่มีข่าวว่าผมคบผู้หญิงทีเดียว 5 คนอย่าง แม็กกี้ (อาภา ภาวิไล) ที่เล่นเรื่อง ขุนพันธ์ ด้วย ก็อยู่ในนี้เหมือนกันนะ โห แล้วแต่ละคนนะครับ ผมได้แต่คิดในใจว่า เฮ้ย ที่เขาพูดกันมาเนี่ย ขอให้มันเป็นจริงสักคนได้ไหมวะ (หัวเราะ) ถ้าจริงผมจะเอาไปอวดลูกหลานได้นานเลย แต่มันไม่จริงสักคน
เบิร์ด: แต่ตอนนั้นเป้ก็มีคนจริงๆ ของตัวเองอยู่
เป้: ใช่ แต่คนจริงๆ อยู่นอกวงเลยครับ ไม่เกี่ยวกับ 5 คนนี้เลย
รู้สึกอย่างไรบ้างที่ถูกเรียกว่าเป็นเสือผู้หญิง ทั้งที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น
เป้: เขาเรียกผิดคนครับ ผมอ่อนมากในเรื่องผู้หญิง สมมติว่าผมไม่มีแฟนแล้วเจอผู้หญิงที่ชอบ ผมจะเก้ๆ กังๆ มากเลยนะ จะไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมจะกระจอกมากครับ ไม่ใช่เสือแน่นอน แต่สุดท้ายคำว่าเสือมันก็เป็นแค่คำพูดนะครับ ไม่ได้สำคัญอะไรกับตัวผมขนาดนั้น ไม่ว่าเขาจะมองผมว่าอย่างไรก็ตาม
เบิร์ด: ผมว่าในมุมหนึ่ง คำว่าเสือคือนักล่า ดังนั้นการเอาเสือมาใส่เป็นนามนำหน้าคนอื่น แสดงว่าคนนั้นจะต้องมีความเป็นนักล่าอยู่ในตัว จะมองว่าเป็นคำที่ไม่ดีก็ได้ แต่อีกด้านหนึ่งก็แสดงว่าเขาเห็นความเชี่ยวชาญอะไรบางอย่างในตัวคนคนนั้นเหมือนกัน
ในฐานะนักล่าอย่างเสือเป้และเสือเบิร์ด ตอนนี้พวกคุณกำลัง ‘ล่า’ อะไรกันอยู่บ้าง
เป้: จะเรียกว่าผมล่าความสำเร็จในผลงานก็ได้นะครับ อย่างเล่นเรื่อง ขุนพันธ์ 2 ก็อยากให้หนังทำเงิน อยากให้คนชอบ ให้คนรู้สึกว่าผมรับบทเสือใบได้เต็มที่ เล่นละครเรื่องไหนก็อยากให้มีคนถูกใจ เล่นเป็นตัวไม่ดี ต้องมีคนเกลียดผม ถ้าเล่นเป็นตัวดีก็ต้องมีคนชอบ มีคนสงสาร เช่นเดียวกับเรื่องเพลงที่ผมก็พยายามล่าความสำเร็จด้านนี้อยู่ และด้านสุดท้ายก็คือการล่าความสงบสุขของครอบครัว อยากให้ครอบครัวมีชีวิตที่สบาย ทั้งเรื่องเงิน เวลา และสุขภาพ ผมอยากให้ทุกคนในครอบครัวของผมสบายกว่านี้
เบิร์ด: เช่นเดียวกันครับ ผมล่าความสำเร็จในทุกๆ ด้าน การมีครอบครัวที่มีความสุขก็เป็นความสำเร็จทางใจ รวมถึงความใฝ่ฝันต่างๆ ที่หวังไว้ในงานแต่ละแบบ ทั้งวงการบันเทิงที่อยากให้มีคนชอบผลงาน ด้านราชการทหารที่ก็อยากประสบความสำเร็จทางตำแหน่งหน้าที่
ถ้าย้อนเวลาไปอยู่ในบริบททางสังคมแบบในเรื่อง ขุนพันธ์ 2 คิดว่าพวกคุณมีโอกาสที่จะลุกขึ้นมาเป็นแบบเสือฝ้ายและเสือใบอย่างในเรื่องบ้างไหม
เบิร์ด: ถ้าเปรียบเทียบวิถีตัวเองในตอนนี้ที่ถูกจำกัดด้วยอาชีพทหารในปัจจุบันคงยาก และรู้สึกว่าอาชีพนี้ค่อนข้างเหมาะกับสภาวะนิสัยใจคอของผมอยู่แล้ว เลยคิดว่าเราไม่ได้ถูกบีบคั้นจนต้องลุกขึ้นมาเป็นแบบเสือฝ้าย
แต่ถ้าถามในลักษณะที่เอาหมวกของการเป็นทหารออกไป อันนี้น่าสนใจ เพราะคิดว่าตัวผมเองไม่ยอมหรอกที่จะถูกบีบคั้นทางสังคมและยอมงอมืองอเท้า เพราะนิสัยของเราเป็นคนที่ชอบต่อสู้ ชอบดิ้นรน และเป็นคนที่ชอบแข่งขัน ผมเคยคิดถึงขนาดว่ามีอยู่ 2 อย่างที่ผมจะทำไม่ได้แน่ๆ คือ ฆ่าตัวตายกับบวชตลอดชีวิต ไม่ฆ่าตัวตาย เพราะผมรักตัวเองมาก และเรื่องบวช ผมยังมีกิเลสที่ไม่สามารถละทางโลกได้ เพราะฉะนั้นเลยคิดว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ไม่แปลกเหมือนกันนะถ้าผมจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง และเป็นผู้นำชุมชนแบบที่เสือฝ้ายทำ
เป้: สำหรับผม ยากเหมือนกันนะ เพราะจะเป็นอย่างเสือใบได้ เรื่องใจที่ต้องมหาศาลมากนะครับ เพราะเสือใบต้องโดนกดดันเยอะมาก เหตุการณ์ต่างๆ ที่เขาเจอมันทำให้เขาต้องหนีมาตลอดจนมาอยู่กับเสือฝ้าย ซึ่งผมไม่เคยเจอสถานการณ์กดดันแบบนั้น เลยยังตอบไม่ได้ และยิ่งคิดจากนิสัยใจคอปัจจุบันของผม ที่เวลาทะเลาะกับคน เห็นคนอื่นเลือดออกเยอะก็กลัว เห็นเลือดตัวเองออกเยอะก็กลัว ผมเคยหยุดต่อยคน เพราะเลือดเขาเต็มมือผมไปหมด แล้วคิดว่า ฉิบหายแล้ว กูกลัว ไม่กล้าสู้ต่อ แล้วก็หนีไปเลย เพราะฉะนั้นผมคงไม่มีใจเด็ดขาดถึงขนาดหยิบอาวุธขึ้นมา แล้วออกไปยิงคนได้ ก็คงยากเหมือนกัน
“ถ้าเราจะอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง นอกจากเป็นคนรัก เขาต้องเป็นเพื่อนคู่คิดในทุกๆ เรื่องของชีวิตเราด้วย และถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราเจอคนคนนั้นแล้ว ต้องกากบาทหมายหัวไว้เลยนะว่าอย่าปล่อยให้เขาหลุดมือเราไปเด็ดขาด” – ผู้พันเบิร์ด
นิยามความรักของเสือฝ้ายและเสือใบในเรื่อง ขุนพันธ์ 2 เป็นอย่างไร
เบิร์ด: เสือฝ้ายรักในความถูกต้อง ไม่ต่างอะไรกับขุนพันธ์ที่เป็นตำรวจ เขารักในความอิสระที่ไม่ถูกกดขี่ข่มเหง และคิดว่าคนเราต้องมีความเท่าเทียมกันในสังคม เมื่อเขาไม่ได้รับสิ่งนั้น เลยทำให้ชีวิตเสือของเขาถูกเปิดขึ้นมา เพื่อทวงคืนสิ่งที่เขาคิดว่าตัวเองและพวกพ้องของเขาควรได้ ซึ่งสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นทำให้เขามีความรักในตัวพวกพ้องร่วมอุดมการณ์ รักในลูกน้อง รักในเพื่อน รักในนักเรียนของเขา รักในคนไข้ที่เขาให้คนมาดูแล นั่นคือความรักของเสือฝ้าย
เป้: ส่วนความรักของเสือใบพูดยากมากเลยนะครับ และยากมากถ้าจะเล่าโดยไม่สปอยล์หนัง (หัวเราะ) เอาเป็นว่าเสือใบเคยสูญเสียคนรักไป ทำให้เขามีความรักไม่ได้อีกเลย เพราะเขาลืมคนเก่าไม่ได้ ผลสุดท้ายคือ เขาพยายามไปหาผู้หญิงคนโน้นคนนี้ กลายเป็นคนเจ้าชู้ เพราะอยากกลบฝังอดีตที่เจ็บปวดของตัวเอง
แล้วความรักของเสือเป้ใกล้เคียงกับเสือใบมากขนาดไหน
เป้: ไม่เลยครับ ผมลืมเร็วมาก (หัวเราะ) ผมเคยอกหักนะ คิดว่าประมาณหนึ่งสัปดาห์ผมก็ดีขึ้นแล้ว แต่มันจะมีความรู้สึกที่ถ้าคนนั้นโผล่เข้ามาในชีวิต หรือได้ยินเสียงของเขาเข้ามา อาจจะเหวอไปนิดหนึ่ง
ไม่เคยพยายามจีบคนอื่นเพื่อลืมความเจ็บปวดแบบเสือใบใช่ไหม
เป้: เคยๆ (หัวเราะ) เป็นประสบการณ์สำคัญในชีวิตเหมือนกันนะ ผมอกหักครั้งใหญ่มาก แล้วให้เพื่อนพาไปเที่ยว ด้วยความคิดว่า ทำไมวะ กูมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมเขาถึงทิ้งกูไป พอไปถึงก็จีบผู้หญิง 4 คน เข้าไปขอเบอร์ เพราะอยากหาคำตอบให้ตัวเอง ทั้งที่ผมไม่เคยขอเบอร์ผู้หญิงมาก่อนเลย อย่างที่บอกว่าผมค่อนข้างติ๋ม ซึ่งก็ได้เบอร์มาทั้งหมด 4 คน แต่ผมไม่ได้โทร.ไปหาใครเลย เพราะพอหายเมา ตื่นขึ้นมาก็รู้ว่าทำลงไปเพราะความเมาล้วนๆ การที่เขาให้เบอร์เรามา ไม่ได้ให้คำตอบได้เลยว่าเราดีหรือไม่ดีอย่างไร
นิยามความรักของเสือเบิร์ดเป็นอย่างไรบ้าง
เบิร์ด: ชีวิตของผมค่อนข้างเรียบง่าย มองไม่ออกด้วยซ้ำว่าชีวิตเคยผิดหวังอะไรหรือเปล่า ทุกอย่างมันเหมือนเดินมาตามแผนการที่วางไว้ทุกอย่าง อย่างเรื่องความรัก ผมจีบแฟนคนนี้มาตั้งแต่ ป.6 เอาดอกกุหลาบ เขียนจดหมายรักไปวางใต้โต๊ะเรียนเขา ศึกษาดูใจกันมาเรื่อยๆ จนผมได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราจะอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง นอกจากเป็นคนรัก เขาต้องเป็นเพื่อนคู่คิดในทุกๆ เรื่องของชีวิตเราด้วย และถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราเจอคนคนนั้นแล้ว ต้องกากบาทหมายหัวไว้เลยนะว่าอย่าปล่อยให้เขาหลุดมือเราไปเด็ดขาด ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามาเป็นคู่ชีวิต และรักษาเขาไว้ให้นานที่สุด
เวลาเสือเป้ได้เห็นเพื่อนๆ หลายคน โดยเฉพาะผู้พันเบิร์ดที่มีครอบครัวสมบูรณ์ มีความสุขแล้ว เคยรู้สึกอิจฉาบ้างไหม
เป้: แยกเป็น 2 เรื่องครับ สิ่งที่ไม่อิจฉาคือ เวลาผมเห็นคนที่มีความสุขอย่างพี่เบิร์ด หรือพี่เล็ก-จุลจักร จักรพงษ์ อันนี้ไม่อิจฉา ผมดีใจและมีความสุขไปกับพวกเขาด้วยทุกครั้งนะ ถ้าจะอิจฉาจะมีแค่เรื่องเดียว คือเรื่องที่พี่เบิร์ดหาคนที่เป็นคู่ชีวิตได้ตั้งแต่ ป.6 แล้วหยุดได้ตั้งแต่ตอนนั้น ผมว่าอันนี้เท่สุดๆ และโรแมนติกมากจริงๆ ผมเองก็คิดว่าเคยเจอคนแบบที่พี่เบิร์ดบอกนะ แต่สุดท้ายผมก็ปล่อยหลุดไปอยู่ดี
คิดว่าถ้าเบิร์ดเผลอปล่อยให้ภรรยาหลุดมือไปตั้งแต่ตอนนั้น ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงจากนี้บ้างไหม
เบิร์ด: ไม่เปลี่ยนครับ เพราะผมก็คงยังมีความรู้สึกที่ดีต่อความรัก พูดแบบนี้อาจจะแปลกหน่อยนะในฐานะคนที่ไม่เคยผิดหวังมาก่อน (หัวเราะ) แต่ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง มันก็มีมุมบวกของมันทั้งนั้น
เป้เคยมีสักช่วงไหมที่คิดว่าความรักอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีแบบที่เราเคยคิด
เป้: มีช่วงที่ผมยุ่งมากๆ จนรู้สึกว่าเราไม่มีเวลาให้ความรัก แล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องการมากหน่อย มันจะมีคิดขึ้นมาเหมือนกันว่า ไม่น่ามีความรักเลย ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่หรอกครับ เพราะถ้าเรามีความรักที่มากพอ เราจะไม่เหนื่อย เราจะยอมนอนน้อยได้
ทุกวันนี้ยอมนอนน้อยเพื่อความรักได้ไหม
เป้: ทำได้ครับ แต่ถ้าหวังจะอยู่กันให้นานๆ ผมว่าการนอนให้พอก็เป็นเรื่องสำคัญ เราต้องเข้าใจซึ่งกันและกันในเรื่องนี้นะ ผมก็เคยมาทั้งนั้นแหละครับ เรื่องคุยโทรศัพท์ถึงเช้าแล้วตื่นไปทำงานเลย ถามว่าทำได้ไหม มันได้อยู่แล้ว แต่ในระยะยาวมันไม่ส่งผลดีกับทั้งคู่แน่ๆ
อย่างผู้พันเบิร์ดเคยอดนอนเพื่อคุยโทรศัพท์ถึงเช้าแบบนี้บ้างไหม
เบิร์ด: มีสิครับ ตอนวัยรุ่นคุยกันยันเช้าเป็นเรื่องปกติ ทำให้ผมไม่เคยดูถูกวิธีการแบบนี้เลยนะครับ เวลาเห็นเด็กวัยรุ่นมัธยมต้นเดินจูงมือกัน ลึกๆ เราก็คิดว่าไม่ค่อยเหมาะหรอก แต่พอมาคิดกับตัวเองจริงๆ โอ้โห เริ่มตั้งแต่ ป.6 เลยนะเรา (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นผมจะไม่ดูถูกเด็กพวกนี้เลย เข้าใจว่าเขาเป็นแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยึดถือมากก็คือ ผมเข้าตามตรอกออกตามประตูทุกอย่าง และไม่เคยทำให้เขาเสียหายเรื่องใดๆ เลยจนกระทั่งวันแต่งงาน
ถ้าเห็นลูกชายคุยโทรศัพท์ถึงเช้า หรือเดินจูงมือกับผู้หญิงตั้งแต่เด็กๆ คุณจะรู้สึกอย่างไร
เบิร์ด: เรื่องพวกนั้นคิดว่าไม่มีปัญหา สิ่งเดียวที่ผมคิดอยู่ในใจกับลูกชายของผมคือ ถ้าเขาทำผิดพลาดลงไปไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เขาต้องมีความรับผิดชอบ และผมไม่เคยจำกัดกับลูกเลยนะว่าแฟนของลูกจะเป็นอย่างไร ผมตามใจเขาหมด ขอแค่ให้เขามีความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำอย่างเดียวก็พอ
สุดท้ายเสือเป้มีอะไรอยากถามเรื่องปัญหาความรักกับรุ่นพี่อย่างเสือเบิร์ดอีกบ้างไหม
เป้: ไม่อยากถามแล้วครับ เพราะเดี๋ยวคำตอบของเขาจะยิ่งทำให้ผมอิจฉาขึ้นไปอีก (หัวเราะ)
ภาพ: สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล, พรนภัส ชำนาญค้า