“พ่อ พอได้แล้ว”
เสียงของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งในรถพยายามบอกด้วยความเขินแล้วรีบกดกระจกไฟฟ้าของรถขึ้น ก่อนที่ชายหลังกล้องจะหัวเราะชอบใจและหันไปหาคนขับรถที่อดยิ้มไปด้วยไม่ได้ ก่อนที่รถจะแล่นออกไป
เหตุการณ์ดังกล่าวมาจากคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่ทำให้หัวใจของแฟนฟุตบอลฝรั่งเศสอบอุ่นและรู้สึกดีขึ้นบ้าง ในยามที่สถานการณ์ในประเทศโดยเฉพาะในปารีสกำลังวุ่นวายอย่างหนักจากการประท้วงของเจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดในเมือง
โดยคนที่เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์คือ ลิลิยอง ตูราม ตำนานปราการหลังสุดแกร่งชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 และฟุตบอลยูโร 2000 ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการยกย่องสูงที่สุดในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังว่าเป็นแบ็กขวาที่ครบเครื่อง ดุดันที่สุด
ขณะที่ชายหนุ่ม 2 คนในรถ คนหนึ่งคือ มาร์คัส ตูราม กองหน้าวัย 25 ปี และอีกคนที่เป็นคนบอกให้พ่อหยุดถ่ายคือ เคเฟรน ตูราม กองกลางวัย 21 ปี ที่ได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ทำให้พ่อต้องขอบันทึกความทรงจำไว้ เพราะได้ส่งลูกชายทั้งคู่ไปยัง ‘แกลร์กฟงแตง’ ศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติของฝรั่งเศส
สำหรับลิลิยอง เจ้าของสถิติการรับใช้ทีมชาติ 142 นัด ไม่มีอะไรที่น่าภาคภูมิใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว
และสำหรับเคเฟรนที่ได้เดินตามรอยเท้าของพี่และพ่อ มันคือช่วงเวลาที่เขารอคอยเช่นกัน
ทุกอย่างนั้นเริ่มต้นจากสวนหลังบ้านของพวกเขา
“พ่อของผมเป็นกองหลัง ส่วนพี่ของผมก็อยากเป็นกองหน้า ดังนั้นผมก็เลยต้องไปเล่นตรงกลาง เป็นกองกลาง บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ผมและพี่เลือกที่จะเล่นในตำแหน่งนี้” เคเฟรน สตาร์จากทีมนีซ เล่าถึงที่มาที่ไปของการที่เขาเลือกเล่นตำแหน่งนี้
“เราเล่นกันจริงจังมากๆ ผมร้องไห้บ่อยๆ เพราะผมแพ้พี่! แต่มันก็เป็นความทรงจำที่ดี เอาจริงพ่อเองก็ไม่ยอมปล่อยให้พวกเราชนะ ถ้าเขาอยากชนะเขาก็จะต้องชนะให้ได้”
Mentality ของผู้ชนะที่ถูกปลูกฝังในสายเลือดตูรามมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ลูกไม้บ้านนี้ไม่เคยหล่นไกลต้น เคเฟรนเองก็เช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ก็ถูกหล่อหลอมจากโรงเรียนด้วยในการสอนให้รู้จักมั่นใจในตัวเอง แต่โรงเรียนของเขานั้นไม่ได้เป็นโรงเรียนฝรั่งเศสทั่วไป
เพราะความเป็นลูกนักฟุตบอลทำให้เคเฟรนต้องเดินทางตลอดเวลา เขาเกิดที่อิตาลี โตในสเปน ลงเล่นฝรั่งเศส และพูดภาษาอังกฤษได้แบบเป๊ะ เพราะถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนอเมริกันในปารีส
“ที่โรงเรียนสอนให้เรามั่นใจ พวกเขาบอกว่าเราทุกคนมีดีและจงอย่ากลัวที่จะเป็นในสิ่งนั้น”
ด้วยเหตุนี้ทำให้เคเฟรน – ชื่อที่ถูกตั้งตามฟาโรห์เคเฟรนแห่งอียิปต์ และมีความหมายในภาษาฝรั่งเศสว่า “ดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า” – มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม และการศึกษาที่ดีทำให้เขาใฝ่รู้อยู่เสมอ
นอกจากงานอดิเรกที่ชอบฟังเพลงแล้ว การอ่านหนังสือก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาโปรดปราน เคเฟรนบอกว่าหนังสือเล่มล่าสุดที่เขาอ่านคือ ‘Jonathan Livingston Seagull’ ผลงานของ ริชาร์ด บาค ที่ให้แรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง
“หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับนกที่บินไม่เป็นและพยายามที่จะหัดบินด้วยวิธีที่แตกต่างกัน แต่สำคัญคือการพยายามไปเรื่อยๆ ถึงคนจะบอกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันบ้า ไม่มีวันจะสำเร็จได้หรอก แต่นกตัวนี้ก็พยายามจนทำได้สำเร็จ”
เล่าถึงตรงนี้ก็คงพอจะเห็นถึง ‘ทัศนคติ’ ของเด็กคนนี้ได้ดีและชัดขึ้น
และเพราะความคิดแบบนี้ ทำให้ถึงจะแบกรับความกดดันเพราะมีนามสกุล ‘ตูราม’ ที่ทำให้เขาย่อมถูกจับจ้องจากสื่อและแฟนฟุตบอลโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เคเฟรนก็พยายามอย่างไม่ลดละ จากวันที่ได้โอกาสลงประเดิมสนามกับโมนาโกในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ตั้งแต่อายุ 17 ปีเมื่อ 4 ปีก่อน ถึงวันที่ย้ายมาอยู่กับนีซ
ปัจจุบันเขาเป็นหนึ่งในดาวเด่นของทีม ดีพอที่จะได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติฝรั่งเศส และมีหลายสโมสรที่ให้ความสนใจ โดยเคยเป็นข่าวกับทีมอย่างลิเวอร์พูล, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, อินเตอร์ มิลาน รวมถึงยูเวนตุส และอีกมากมาย
“ผมเคยได้ยินข่าวอยู่ แต่ผมไม่ได้สนใจ” ตูรามคนเล็กบอก “ผมอยู่ที่นีซตอนนี้ ผมมีความสุขดีที่นี่ ผมพยายามที่จะเติบโตขึ้นไปพร้อมกับสโมสร ดังนั้นถึงผมจะเคยได้ยินข่าวพวกนี้มาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร”
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือการพยายามเล่นให้ดีกับทีม และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็นยู่ เคเฟรนบอกไว้
ในวัย 21 ปี รูปร่างสูงใหญ่ถึง 6 ฟุต 4 นิ้ว และมีพร้อมทุกอย่างในตัว ทั้งเทคนิค ร่างกายแบบนักกีฬา และสัญชาตญาณในการล่าประตู สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เขาได้รับจากการเป็น ‘ตูราม’ ซึ่งเอาเข้าจริงเคเฟรนก็แทบไม่เคยคิดถึงพ่อเลย
พ่อที่เป็นสุดยอดกองหลัง ผ่านการเล่นให้กับโมนาโก (นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเคเฟรนถึงเริ่มต้นที่นี่) ไปโด่งดังกับปาร์มา, ยูเวนตุส, บาร์เซโลนา และแน่นอนว่าเป็นชุดตำนานของทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เขามีโอกาสที่พิเศษกว่าคนอื่น
เพื่อนเตะบอลในวัยเด็กของเคเฟรนมีตั้งแต่ ปาทริก วิเอรา, โรนัลดินโญ, เธียร์รี อองรี ไปจนถึง ลิโอเนล เมสซี ที่ในตอนนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดแค่ว่าเป็น ‘เพื่อนพ่อ’ แต่ตอนนี้กลับมาดูรูปอีกทีก็ต้องแอบตกใจนิดหนึ่งว่า “เฮ้ย ผมเคยเล่นกับเมสซี”
แต่เคเฟรนยืนยันว่าความเป็นตูรามไม่เคยส่งผลอะไรกับเขา พ่อไม่เคยกดดันให้เดินตามรอยเท้าเลย “พ่อก็คือพ่อธรรมดา พ่อสอนผมอ่านเขียนหนังสือ ช่วยผมทำการบ้าน เวลาที่ผมไม่ทำการบ้านพ่อก็บังคับให้ผมทำ
“สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำตัวดีๆ ที่โรงเรียน เป็นคนสุภาพ เป็นคนดี” เคเฟรนบอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เคยเจอไม้เรียวเลย “มีครั้งหนึ่งที่ผมสอบได้เกรดแย่ น่าจะ 2 เต็ม 10 ผมเลยไม่บอกพ่อ แอบเอาผลสอบไปซ่อนใต้เตียงแล้วพ่อไปเจอเข้า พ่อเลยไม่ให้ผมไปเล่นฟุตบอล หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยแอบอะไรพ่ออีกเลย”
สำหรับตอนนี้การติดทีมชาติฝรั่งเศสเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจแล้ว “มันเป็นเป้าหมายของนักฟุตบอลทุกคนที่อยากจะติดทีมชาติสักครั้ง และมันก็มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมากในการที่จะได้เล่นร่วมกับพี่ชายของผม” เพราะก่อนหน้านี้มาร์คัสติดทีมชาติไปแล้วและได้โอกาสลงเล่นในฟุตบอลโลกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเคเฟรนก็อยากจะเดินตาม
เมื่อมีเวลาเขาจะศึกษาการเล่นจากนักเตะในสไตล์ใกล้เคียงกันอย่าง พอล ป็อกบา, ยายา ตูเร หรือแม้แต่เพื่อนพ่ออย่างวิเอรา
แต่ถ้าถามถึงคนที่เก่งที่สุดในตำแหน่งของเขาเวลานี้ “เควิน เดอ บรอยน์ คือคนที่เก่งที่สุดในตำแหน่งนี้ เขาน่าเหลือเชื่อมาก ฉลาดมาก และมีเทคนิคสูงมาก”
อีกคนที่เขาชื่นชมคือ อารอน แรมซีย์ นักเตะที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเลือกใช้เป็นประจำในเกม FIFA แต่ตอนนี้กลายมาเป็นรุ่นพี่และเพื่อนร่วมทีมกัน ซึ่งเคเฟรนบอกว่าเขาไม่เคยบอกเจ้าตัวมาก่อนเลยในเรื่องนี้
“ผมว่ามันแปลกๆ นิดหน่อยตอนแรก เพราะผมเคยดูเขาเล่นในทีวี และผมก็เล่นเป็นเขาในเกม มันก็แอบประหลาดนิดๆ!” เจ้าตัวแอบฮา “แต่อารอนเป็นคนที่นิสัยดีมาก มีอะไรที่อยากรู้ผมก็ถามเขาได้และเขาก็ยินดีจะคุยกับทุกคน การมีนักเตะที่มีประสบการณ์แบบนี้อยู่ในทีมเป็นเรื่องที่ดี เขาเล่นให้กับเวลส์, อาร์เซนอล และยูเวนตุส เขาเป็นคนที่มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก
“ความจริงผมแทบไม่ต้องถามเขาก็ได้ แค่ดูว่าเขาทำอะไรและพยายามทำตามก็พอ”
เอาล่ะ ถึงตอนนี้เคเฟรนได้เป็นนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสแล้ว แต่เป้าหมายจริงๆ ในชีวิต ปลายทางของความฝันอยู่ตรงไหน?
“สำหรับผมสิ่งสำคัญที่สุดคือการเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด ทั้งในฐานะคนคนหนึ่ง และในฐานะนักฟุตบอล ผมไม่รู้ว่าผมจะไปถึงจุดไหน แต่ผมแค่อยากเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด ถ้ามันจะหมายถึงการที่ผมต้องไปเล่นที่ไหนสักที่ตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร หรือถ้าจะมีโอกาสได้เล่นให้สโมสรใหญ่สักแห่งผมก็อยากจะทำให้ได้”
ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าอนาคตของเด็กคนนี้น่าจะดี
ไม่เสียชื่อ ‘ตูรามคนเล็ก’ แน่นอน
อ้างอิง: