“รอดูได้เลย เขาโดนน็อกแน่นอน”
“เขาก็แค่มวยรองที่ได้โอกาสทองครั้งสุดท้ายก่อนจะเกษียณ”
เป็นคอมเมนต์ที่หลายคนในโลกออนไลน์มีต่อ เทอเรนซ์ ครอว์ฟอร์ด นักมวยชาวอเมริกาวัย 38 ปีก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นสังเวียนพบกับ ซาอูล “คาเนโล” อัลวาเรซ แชมป์โลก 4 สถาบันหลัก WBC, WBA, WBO, IBF รุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท 168 ปอนด์ เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา
แม้ว่า เทอเรนซ์ ด้วยสถิติการชกแล้วเขาไม่ควรเป็นคนที่ถูกมองข้ามได้ เพราะเขา เป็นนักมวยคนแรกที่เป็นแชมป์โลก 4 สถาบัน 2 รุ่น สถิติขึ้นสังเวียน 41 ไฟต์ ชนะรวด ไร้พ่าย โดยเป็นการชนะน็อกถึง 31 ไฟต์
แต่ด้วยสถิติการชกที่ผ่านมาของเขา เขายังไม่เคยได้โอกาสขึ้นชกกับนักมวยชื่อดัง ขนาดที่ ก่อนชก คาเนโล ถึงกับเอ่ยปากถามเขาผ่านรายการ Podcast ว่า
“เขาเป็นนักมวยที่ดีนะ ดีมากเลย แต่เหมือนกับที่ผมบอกตลอดเวลา ถ้ามองย้อนไปในอาชีพของ เทอเรนซ์ ลองบอกมาสักชื่อสิที่เขาได้เจอกับนักมวยระดับชั้นนำ?”
เมื่อปี 2015 เทอเรนซ์ เคยมีข่าวกับแมนนี ปาเกียว แต่สุดท้ายไฟต์นั้นก็ไม่เกิดขึ้น
“ผมชกกับ เดียร์รี ฌอง และมีโอกาสจะได้เปิดตัวด้วยการชกกับ แมนนี ปาเกียว ไฟต์กับ ณอง เป็นไฟต์ที่เขาบอกผมว่าถ้าทำได้ดี คุณจะได้โอกาสชกกับแมนนี ปาเกียว ผมชนะน็อกเขา และ ก็หาตัวแมนนี ปาเกียวไม่เจออีกเลย”
รายได้ ของ เทอเรนซ์ เองจาก Fight Purse หรือ ค่าตัวที่การันตีที่นักมวยจะได้รับจากการขึ้นชกไฟต์นี้ ก็มีรายงานว่าเขาได้รับ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ คาเนโล จะได้รับมากถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจจะมากกว่านั้นหากนับรวมรายได้อื่น
นอกจากนี้ เทอเรนซ์ ยังขยับเวทขึ้นมาถึง 2 รุ่น เพื่อมาชกกับ คาเนโล ในรุ่นที่เขาเองปกครองแชมป์โลกมาเป็นนานอีกด้วย ซึ่งทำให้หลายคนยิ่งเชื่อว่า ต่อให้ เทอเรนซ์ เขาจะเก่งมาจากรุ่นไหน การที่นักมวยขยับรุ่นขึ้นมาชก และ ยังต้องมาเจอกับคนที่ได้รับฉายาว่า ที่สุดของรุ่น อีก ทำให้ไฟต์นี้ก่อนชกดูยังไงเขาก็รอง
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนสังเวียนแตกต่างจากตัวเลขเม็ดเงิน และ การดูถูกเหยียดหยามจากทุกคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเขาก่อนก้าวขึ้นสังเวียนเป็นอย่างมาก
Undisputed Masterclass
สิ่งที่เกิดขึ้นเกือบตลอด 12 ยกที่ผ่านมาในศึกชิงแชมป์โลก 4 สถาบันรุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท หรือ Undisputed Champion ที่ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่าน Netflix คือการพาทุกคนไปดูหลักสูตรมวยสากลขั้นสูง
หลายคนนำเอาไฟต์นี้ไปเปรียบเทียบกับไฟต์ที่ คาเนโล พบกับ ฟลอยด์ เมเวเธอร์ จูเนียร์ เมื่อหลายปีก่อน แต่ความจริงคือไฟต์นี้มีความแตกต่างกันมา
ย้อนไปไฟต์นั้นที่ ฟลอยด์ เอาชนะ คาเนโล แบบขาดลอย ด้วยชั้นเชิงการชกที่เหนือชั้นกว่าอย่างชัดเจน แต่มาถึงวันนี้ คาเนโล เป็นนักชกที่มีประสบการณ์สูงขึ้นมาก และ เป็นนักมวยที่เรียกได้ว่าเป็นหน้าตาของวงการมวยสากลมาเป็นเวลานาน และยังเป็นแชมป์ทุกสถาบันในรุ่นของเขาอีกด้วย
แต่ไฟต์นี้ สิ่งที่ เทอเรนซ์ ทำได้ดีก็คือ … ทุกอย่าง เทอเรนซ์ สามารถบังคับให้ คาเนโล ต้อง รีเซตใหม่แทบจะตลอดเวลา ในมวยสากล จังหวะ และ แผนการชกเป็นสิ่งสำคัญ คาเนโล พยายามปรับจูนวิธีการเข้าทำใส่ ผู้ท้าชิงจากสหรัฐฯ
แต่ เทอเรนซ์ สามารถปรับสไตล์ได้ตลอดเวลา การบุกของเขามี คอมโบที่ครบเครื่อง หมัดชุดที่ออกได้รวดเร็ว และ เข้าเป้าทั้งหมด และ ถ้าต้องตั้งรับ เขาสามารถหลบ ดึงจังหวะ และ ดักชกคาเนโลได้อย่างแม่นยำ
ทั้งวงนอก และ วงใน เทอเรนซ์ ก็เลือกใช้วิธีการเล่นงาน คาเนโล ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้กำลังบอกว่าวันนี้ คาเนโล ไม่ใช่นักมวยที่เก่งเหมือนที่เขาเป็นมาตลอด แค่วันนี้ เทอเรนซ์ ยกระดับมวยสากลของเขาสูงขึ้นไปอีก
เหมือนกับที่เขาให้สัมภาษณ์ตอนจบว่าสิ่งไหนที่ เทอเรนซ์ สร้างปัญหาให้กับเขามากที่สุด คาเนโล ตอบสั้นๆว่า “ทุกอย่างเลย เขาทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
Undefeated Mentality
เทอเรนซ์ เริ่มชกมวยตอนอายุ 7 ปี โดยไม่เคยรู้ว่า พ่อ ลุง และ ปู่ เคยชกมวยมาก่อน แต่มียิมอยู่หลังบ้าน เจ้าของเขามาชวนเขาไปลองชกมวย และ เขาก็ติดใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยหลักการสอนเบสิกที่ว่า เก็บคาง, ยกการ์ดขึ้น, เก็บข้อศอก และ รักษาคำพูดของตัวเองตลอด มวยสากลก็กลายเป็นตัวตนของเขา
เขาได้รับบททดสอบตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยการที่โดนทุกคนดูถูกมาตลอด แม้กระทั่งแม่ของเขาเองยังไม่เชื่อมั่นในตัวเขา ขนาดตอนพ่อเขาเชื่อว่าเขาจะก้าวขึ้นเป็นแชมป์โลก แต่แม่ของเขาก็บอกว่า “ไม่มีทาง”
นอกจากนี้แม่ของเขา ยังเอาเงินไปจ้างเด็กคนอื่นมาทำร้ายเขา ด้วยความหวังให้เขาถูกอัด เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่แข็งแกร่ง และ ถ่อมตัว แต่ผลที่ออกมาคือเขากลับเป็นฝ่ายชนะเด็กที่ได้รับเงินจากแม่เขา
จากความผิดหวังที่เขาไม่ได้ไปโอลิมปิกเมื่อปี 2007 (ครั้งล่าสุดที่เขาพบเจอกับความพ่ายแพ้บนสังเวียนมวยสากล) เขาพัฒนาตัวเองขึ้นมาในศาสตร์ของมวยสากลอย่างต่อเนื่องจนได้สถิติไร้พ่ายมาเกือบตลอด 20 ปี
พร้อมกับฉายานักแก้ปัญหา เพราะทุกครั้งที่ขึ้นชก เขาจะสามารถทำให้นักมวยที่ดูยิ่งใหญ่ กลายเป็นนักมวยธรรมดาทั่วไปเมื่อต้องมาพบเจอกับเขา
การเติบโตของนักมวยหลายคนในตำนานมักจะต้องผ่านช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต แต่สำหรับ เทอเรนซ์ เขาพบเจอกับช่วงเวลาที่ทำให้เขาเกือบจะกลับมาไม่ได้
นั่นคือตอนที่เขามีอายุ 21 ปี หลังผ่านการชกอาชีพมาแล้ว 4 ไฟต์ เขาไปเล่นพนันทอยลูกเต๋า และ ตอนที่เขากำลังขึ้นรถกลับบ้าน มีลูกกระสุนพุ่งทะลุกระจกหลัง ตรงเข้าสู่หัวของเขาด้านขวาตรงด้านล่างของหู
เขารีบขับรถตรงไปสู่โรงพยาบาล ด้วยความโมโห และ 5 ชั่วโมงต่อมา หลังจากทำแผล เขาก็ออกจากโรงพยาบาล และ อีก ไม่ถึง 2 เดือนต่อมา เขาก็ ขึ้นชกและ คว้าชัยชนะด้วยการน็อกเอาท์คู่ชกในยกที่ 2
แต่เทอเรนซ์ไม่ได้ใช้เหตุการณ์เป็นแรงผลักดันอะไร เพราะ เขาได้ตอบคำถามสื่อก่อนขึ้นชกไฟต์นี้กับคาเนโล ว่าเขาจดจำอะไรได้บ้างจากค่ำคืนวันนั้นที่อาจเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เขาตอบสั้นๆแค่ว่า “ไม่เลย”
เพราะสำหรับ เขา ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง และ สิ่งที่เขาทำได้ต่อมาคือตัดสินใจว่าจะทำอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น รอยบาดแผลแน่นอนว่ายังคงอยู่ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเขา คือ แผนการที่เขาจะไปต่อหลังจากนั้น
และเมื่อเขาถูกถามตอนที่เป็นนักมวยอาชีพแล้วว่า ตอนนี้ต้องพิสูจน์อะไรให้แม่เห็นอีกไหม ว่าคุณเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่เก่งได้ เขาก็ตอบกลับเพียงสั้นๆว่า
“ผมได้พิสูจน์ไปหมดแล้ว ตอนนี้ผมทำเพื่อพิสูจน์ทุกอย่างให้กับตัวเองเท่านั้น”
Underdog Mindset
ทุกครั้งที่เขาขึ้นชก เขาไม่เคยคิดว่าเขาได้เปรียบ หรือ เหนือกว่าใคร เขาแค่คิดว่า ทุกไฟต์คือการเริ่มต้นใหม่ และ เขารู้ดีว่าคนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามเขา
“ผมคิดว่าผู้คนส่วนใหญ่มักจะดูถูก และ มองข้ามทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวผม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะทุกคำถามจะได้รับคำตอบในวันที่เราขึ้นชก” เทอเรนซ์ให้สัมภาษณ์ก่อนขึ้นชกกับ คาเนโล ต่อมุมมองที่ทุกคนมี
“ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่พวกเขาไม่สามารถชกแทนผมได้ ผมโดนดูถูกมาตลอดอาชีพ ผมเคยโดนบอกว่าต้องไปทำอาชีพอื่นแล้ว ผมก็แค่คิดว่า โอเค คอยดูผมชกแล้วกัน”
และเมื่อพูดถึงไฟต์นี้ เทอเรนซ์ก็ยืนยันว่า ไม่ว่าใครจะมองเขายังไง เขาก็คือคนที่เป็นรองในใจเขาเสมอ
“ไม่ว่าใครจะคิดยังไง ว่าผมเป็นคนที่เหนือกว่า หรือ เป็นรอง ในใจของผม ผมเป็นรองเสมอ ผมจะก้าวเข้าไปด้วยคนที่เป็นรองที่ต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
“การคิดแบบนี้ทำให้ผมต้องผลักดันตัวเองมากขึ้น เพราะผมก็ตามหลังเขาอยู่ 2 ยกอยู่แล้ว ทั้งชื่อเสียงของคาเนโล (1 ยก) และ รุ่นน้ำหนักที่ผมต้องขยับขึ้นไป (1 ยก) ผมเลยต้องทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อตามให้ทันวันที่ขึ้นชก”
เทอเรนซ์ เรียนรู้จากการได้ยินคำพูดที่หลายคนในชีวิตเขามักจะบอกเขาว่า เขาดีไม่พอ, ไม่มีทางเป็นแชมป์โลก และ ทำความเข้าใจว่า คำพูด ไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่มุมมองที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมองเขาได้จากสิ่งที่ทุกคนเห็น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเม็ดเงิน สถิติการชก หรือ แม้ว่าตัวเขาที่ทุกคนมองเห็น
แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญ คือการเตรียมพร้อมที่มองว่าตัวเองมีโอกาสพัฒนาให้เก่งขึ้นได้อีก ด้วยการวางตัวเองไว้เป็นคนที่เป็นรองตลอดเวลา มองหาจุดที่ต้องพัฒนา และ พิสูจน์ตัวเขาด้วยการกระทำเพื่อตอบโต้คำดูถูกของทุกคน
ลงมือพัฒนาตัวเอง ลงมือเรียนรู้ในศาสตร์ของตัวเอง และ ลงมือทำในสิ่งที่เขามองว่าต้องทำ เพื่อให้เขาเอาชนะทั้งคำดูถูกของคนอื่น และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพิสูจน์กับตัวเขาเองว่า เขาคิดถูกแล้วที่เชื่อว่าตัวเขาเองจะเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าจะพบเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบากแค่ไหนก็ตาม
เทอเรนซ์ได้ทำให้เราเห็นว่า สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าคนทั้งโลกคิดยังไงกับเรา แต่สิ่งสำคัญคือการที่เราต้องรู้ตัวเราเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มีเป้าหมายอะไร และ มองสถานการณ์ตามความเป็นจริงว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ตามแผน และขั้นตอน เพื่อไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ
ไม่ใช่เอาตัวเองไปวัดตามคำพูดที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
หลังจบไฟต์ประวัติศาสตร์ที่ทำให้เขาในวัย 38 ปี (ในปีนี้) พร้อมกับ ลูก 7 คน กลายเป็นนักมวยที่เป็นหน้าตาของวงการมวยโลกครั้งนี้
เขาจะพบเจอกับความท้าทายใหม่อีกครั้ง เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ทุกคนจะมองเขาเป็นคนที่ถูกมองว่าเหนือกว่าคนอื่นในรุ่นซูเปอร์มิดเดิลเวท
แต่เทอเรนซ์ก็รับมือกับความสำเร็จครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยการยกย่องคาเนโล คู่ชกที่แม้ว่าจะมีคำพูดดูถูกเขาก่อนชก ด้วยการเอาเข็มขัดแชมป์ทั้งหมด ไปมอบให้กับ คาเนโล ถือ เพื่อเป็นการให้เกียรติแชมป์โลกที่ยิ่งใหญ่อีกคน
และ ตอบโต้คำพูดที่คาเนโล เคยพูดกับเขาว่า “เขาชกกับใครก็ไม่รู้ที่ผ่านมา” (“fought nobody”)
ด้วยคำตอบว่า “ขอมอบสิ่งนี้ให้กับทุกคนที่ไม่มีใครรู้จัก” (“For all the nobodies”)
เพื่อบอกกับทุกคนที่โดนโลกดูถูกว่า คุณเองก็ทำได้ เอาชนะทุกคนที่ดูถูกคุณ และ ก้าวขึ้นเป็นนักมวยสากลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์โลกแบบ Undisputed หรือคว้าแชมป์ครบทุกสถาบัน ได้ทั้งหมด 3 รุ่นน้ำหนัก เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์