“ดามาโตสอนให้ผมเป็นคนที่ดุดันทั้งในและนอกสังเวียน” ไมค์ ไทสัน กล่าวถึงคนที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างเขาให้เป็น ไมค์ ไทสัน ในวันนี้ ซึ่งคนคนนั้นคือ คัส ดามาโต (Cus D’Amato) โค้ชมวยสากลระดับตำนาน
หากใครเคยมีโอกาสรับชมการแข่งขันหรือไฮไลต์ของ ไมค์ ไทสัน ในช่วงพีคของเขา คำว่า The Perfect Storm หรือพายุระดับภัยพิบัติที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งมีพลังในการทำลายล้างอย่างเด็ดขาดบนสังเวียน คงเป็นคำอธิบายที่ไม่เกินจริงนัก
เพราะเขามักจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ยกในการเอาชนะคู่ชก ด้วยรูปแบบที่นักมวยคนต่อไปที่จะขึ้นมาเจอเขาบนสังเวียนอาจต้องใช้เวลาปรับแผนหรือเปลี่ยนกลยุทธ์ในการพบเจอกับเขาใหม่ เหมือนกับที่ไทสันเคยกล่าวไว้ว่า “ทุกคนมีแผนจนกระทั่งพวกเขาโดยต่อยเข้าให้ที่ปาก”
เขาสร้างสถิติการชกคือ ชก 56 ครั้ง ชนะ 50 แพ้ 6 โดยเป็นการชนะแบบน็อกเอาต์ 44 ครั้ง และถือครองสถิติแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวตที่มีอายุน้อยที่สุดคือ 20 ปี 4 เดือน ซึ่งหลายความสำเร็จในชีวิตของเขาเขายกเครดิตให้กับ คัส ดามาโต ที่ช่วยสร้างให้เขากลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่งบนสังเวียนผืนผ้าใบ
“ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม คัส ดามาโต โค้ชมวยสากลระดับตำนานที่อยู่ที่นิวยอร์ก มาดูผมลงนวมซ้อมแค่ไม่ถึง 10 นาทีตอนที่ผมอายุ 13 ปี และพยากรณ์ได้เลยว่าผมจะเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวตที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์”
ไทสันเขียนเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาพบเจอกับ คัส ดามาโต เป็นครั้งแรกในหนังสือ Iron Ambition: My Life With Cus D’amato by Mike Tyson and Larry Sloman
“คัส ดามาโต เป็นคนที่พิเศษมากคนหนึ่งบนโลกใบนี้ เขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย และทำให้หลายคนกลายเป็นคนที่ดีขึ้น เขาสร้างคนที่อ่อนแอให้แข็งแกร่งได้
“ก่อนที่ดามาโตจะเข้ามาช่วยชีวิตผม ผมเป็นคนที่มักจะโดนแกล้งทุกวัน จนกระทั่งผมได้เข้ามาอยู่ใต้ร่มหลังคาอาคารแห่งหนึ่งใกล้บ้านผม ที่นั่นผมโดนบังคับให้ทำความสะอาดกรงนกพิราบจากคนแก่คนหนึ่งที่เลี้ยงนกแถวนั้น
“จากคนเลี้ยงนกพิราบ ผมเริ่มต้นก่ออาชญากรรม ผมไม่ค่อยอยู่กับคนอายุเท่ากัน ผมเรียนรู้จากคนอายุมากกว่าเสมอ เพราะผมเด็กกว่า ตัวเล็กกว่า ผมเลยมีหน้าที่ปีนเข้าหน้าต่างไปปลดล็อกประตูให้พวกเขาเข้ามาปล้นแต่ละบ้าน ผมเหมือนกับนักเรียนบนถนนที่เรียนรู้จากพวกเขา
“ผมเติบโตขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกตลอดว่าเป็นคนที่มักจะถูกแกล้ง และคงไม่มีวันได้เป็นนักสู้ แต่ผมก็มีเพื่อนเป็นนักมวยสมัครเล่นชื่อ ไวส์ (Wise) ที่มักจะใช้ฟุตเวิร์กแบบ มูฮัมหมัด อาลี
“ไฟต์แรกของผมเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ ผมไปซื้อนกพิราบของตัวเองและเก็บมันไว้ในตึกร้างแถวนั้น แต่มีคนมาขโมยนกพิราบผมไป ผมไปเจอเขาเพื่อเอานกคืน เขาคนนั้นถอดเสื้อออกและหักคอนกของผมทิ้ง ก่อนเอาเลือดนกมาป้ายที่ตัวผม ผมโมโหมากแต่ยังกลัวที่จะสู้ เพื่อนผมบอกว่า ‘ไมค์ แกต้องสู้แล้ว’ ผมเลยต่อยเขาด้วยหมัดขวา เขาล้มลง ผมเองก็ช็อก
“การต่อสู้เป็นเรื่องใหญ่ในย่านที่ผมอยู่ เพราะถ้าคุณเป็นนักสู้ที่ดี คุณจะได้รับความเคารพ ผมเองก็เก่งแต่จังหวะที่คู่ชกเผลอ แต่ไม่ได้ชนะทุกไฟต์ ผมโดนต่อยเยอะมาก เพราะผมชกกับคนแก่กว่าตลอด ตอนผม 11-12 ปี ผมต่อสู้กับคนอายุ 30 ปี เพียงแค่เพราะผมเอาชนะพวกเขาได้ในเกมทอยลูกเต๋า และพวกเขาไม่ยอมจ่ายเงินให้กับคนที่มีอายุเพียง 11-12 ปี
“ช่วงนั้นผมใช้ชีวิตเข้าออก Spofford คุกสำหรับคนอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นประจำ ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Greatest ปี 1977 ของ มูฮัมหมัด อาลี ที่เขาแสดงเป็นตัวเขาเอง ผมชอบสไตล์ของเขามาก แต่ผมไม่ใช่แฟนของกีฬามวยสากล ผมชอบดูมวยปล้ำมากกว่า
“แต่เมื่อคุณได้ดูอาลีพร้อมกับเด็กคนอื่นๆ ใน Spofford เป็นสิ่งที่ดีมาก และเมื่อภาพยนตร์จบลง ไฟดับลง และอาลีเดินขึ้นมาบนเวที ทำให้ห้องนั้นระเบิดไปด้วยอารมณ์ของความตื่นเต้น
“อาลีพูดถึงการถูกจับกุมและเขาเคยติดคุกจนเสียสติ เขาพูดถึงสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเรามาก ซึ่งคำพูดของอาลีวันนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ไม่ใช่เพราะผมอยากจะเป็นนักมวย แต่ผมอยากเป็นคนดัง อยากได้ความรู้สึกที่คุณเดินเข้าห้องห้องหนึ่งและทุกคนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นคุณ แต่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะทำได้”
ไม่นานหลังจากนั้น ไมค์ ไทสัน ก่อเหตุทะเลาะวิวาทภายในคุก และถูกจับได้พร้อมกับมีดในมือ เขาถูกลงโทษด้วยการตีด้วยไม้สนุก 10 ครั้งเข้าที่ศีรษะ
ปีสุดท้ายของเขาที่ Spofford เขาถูกส่งตัวไปโรงเรียนที่มีชื่อว่า Tryon ที่นั่นไทสันกลายเป็นนักเลงประจำโรงเรียน มีเรื่องต่อยตี ทะเลาะกับหลายคน จนชื่อของเขากลายเป็นที่เกรงขามในโรงเรียน สุดท้ายหลังจากเขาทำร้ายคนที่ขโมยหมวกเขาไป เขาก็ถูกจับขังเดี่ยว ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้เจอกับ บ็อบบี้ สจวร์ต หนึ่งในผู้คุมที่เป็นครูสอนมวยสากล
ไทสันขอร้องเขาหลายครั้งเพราะอยากจะเรียนรู้การเป็นนักมวย แต่สจวร์ตตอบกลับถึงความต้องการของไทสันว่า
“ทุกคนในนี้อยากเป็นนักมวย แต่ถ้าพวกเขาอยากเป็นนักมวยจริง พวกเขาจะไม่มาอยู่ในนี้ตั้งแต่แรก พวกเขาจะอยู่ข้างนอก ไปโรงเรียน ไปทำงาน ในนี้เรามีแต่พวกขี้แพ้”
ไทสันพยายามขอร้องหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายสจวร์ตยื่นเงื่อนไขว่าไทสันต้องไปเรียนและต้องไม่เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทอย่างน้อยหนึ่งเดือน แล้วถึงจะได้เริ่มเรียนมวยกัน
สิ่งที่สจวร์ตสังเกตเห็นคือ ไทสันเป็นเด็กขี้อาย ขี้กลัว และขาดความมั่นใจ ส่วนไทสันมองว่าสิ่งเดียวที่เขารู้ในตอนนั้นคือ จะโกง ขโมย ปล้น หรือโกหก คนอื่นอย่างไร ไทสันประพฤติตัวดีขึ้น แต่สจวร์ตไปอ่านรายงานของไทสันแล้วพบว่า รายงานระบุว่าไทสันเป็นคนมีพัฒนาการทางสติปัญญาช้า หรือ Retarded
สจวร์ตไม่พอใจอย่างมาก เขาบุกไปที่ห้องของเจ้าหน้าที่ประเมินจิตวิทยาของโรงเรียน และกล่าวว่า “นี่คืออะไร คุณประเมินเขาแบบนี้ได้อย่างไร?” เจ้าหน้าที่ชี้แจงว่าไทสันได้รับการทดสอบแล้ว
“การทดสอบเหรอ แค่เขาอ่านหรือเขียนไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนปัญญาอ่อนเลยเหรอ ผมเห็นเด็กคนนี้มานาน เขาฉลาด แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าจะอ่านหรือเขียนอย่างไร ผมเองก็อ่านหรือเขียนได้ไม่ดี แต่ผมไม่ได้ปัญญาอ่อนนะ” สจวร์ตปกป้องไทสัน และโจมตีเจ้าหน้าที่ว่าพวกเขานั่นแหละปัญญาอ่อน ก่อนที่สจวร์ตเองจะโดนรายงานพฤติกรรมจากเหตุการณ์นั้นเช่นกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างไทสันกับสจวร์ตดีขึ้นเรื่อยๆ จนได้ลงนวมซ้อมกับครูในโรงเรียน
“การลงนวมครั้งแรกของผมตื่นเต้นมาก ผมป้องกันตัวได้ดี เพราะผมปิดใบหน้าได้ แต่เขาเข้ามากอดผม และไอ้ชั่วนั่นชกผมที่ท้อง ผมร่วมลงกับพื้นและไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดแบบนั้นมาก่อน” ไทสันเล่าถึงการได้ลงนวมครั้งแรก
“ลุกขึ้น!” สจวร์ตตะโกนบอกไทสัน ก่อนเขาจะลุกกลับขึ้นมาชกต่อ จบการซ้อมครั้งนั้นไทสันก็ขอให้เขาสอนการชกท้องคนแบบนั้น
ไทสันลงนวมซ้อมต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเริ่มมาดูพวกเขาซ้อมกัน และไทสันเองก็มีความสุขที่เขากลายเป็นจุดสนใจของคน
“คุณสจวร์ตสลับกันกับผม ทั้งชกและตั้งการ์ดรับสลับกัน ในชีวิตของผม ผมไม่เคยมีเป้าหมายอะไรนอกจากปล้นคนอื่น แต่วันนี้คุณสจวร์ตมอบสิ่งที่ผมสามารถโฟกัสได้และปรับเอาความต้องการของผมจากการปล้นไปสู่การชกมวย ซึ่งผมรู้เลยว่าสิ่งที่เขาช่วยผมในวันนี้จะช่วยชีวิตของผมนอกสังเวียนด้วย” ไทสันกล่าวถึงโค้ชมวยคนแรกในอาชีพของเขา
“ผมตื่นเต้นที่ได้ต่อสายให้เขาคุยกับแม่ของผม เขาบอกแม่ผมว่าผมพัฒนาขึ้นมาก และถ้าทำได้ดีต่อไป ผมจะมีอนาคตที่ดีให้กับตัวเอง เธอหัวเราะและขอบคุณเขามาก เพราะผมเองก็ไม่เคยทำให้เธอมีความหวังมาก่อนในชีวิต”
แม้ว่าไทสันจะเริ่มเข้าสู่ลู่ทางที่ดี แต่สจวร์ตก็ยังกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขากลับออกไปสู่โลกภายนอก สจวร์ตจึงได้คุยกับไทสันจริงจังและบอกว่า
“ฟังนะไทสัน ภรรยาของฉันโกรธมากที่ฉันกลับบ้านไปทุกวันพร้อมกับขอบตาดำและจมูกหัก ฉันต่อยกับแกต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ฉันจะพาแกไปในที่ที่แกจะได้รับการดูแลและพัฒนาสู่ระดับต่อไป ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่แกต้องการใช่ไหม เพราะฉันเชื่อว่าแกคงอยากจะออกจากที่นี่แล้ว”
“ไม่ ผมไม่อยากไปไหน ผมอยากอยู่กับคุณที่นี่” ไทสันปฏิเสธ
สจวร์ตกล่าวต่อว่า “ฉันอยากให้แกได้ทำงานกับ คัส ดามาโต เขาเป็นโค้ชชื่อดัง เขาช่วย ฟลอยด์ แพตเทอร์สัน ไปสู่แชมป์เฮฟวีเวต เขาทำให้ โชเซ ทอร์เรส เป็นแชมป์ไลต์เฮฟวีเวต เขาพร้อมรับเด็กที่ทำงานหนัก ฉันว่าแกอาจจะอยู่บ้านเขาได้ด้วย”
สจวร์ตสอนท่าพิเศษให้กับไทสันก่อน เพื่อให้ไทสันเอาไปโชว์ดามาโต ไทสันฝึกจนเก่ง และสจวร์ตก็โทรหาดามาโต ซึ่งดามาโตก็ตอบตกลงทันที พร้อมเงื่อนไขเดียวว่า ‘ถ้าคิดว่าไทสันเก่งพอก็พามาพรุ่งนี้เลย’
ค่ายมวยของ คัส ดามาโต อยู่ชั้นบนสุดของสถานีตำรวจ มีเวทีมวยเล็กๆ อยู่กลางห้อง พร้อมกับนักมวยหลายคน ไทสันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับดามาโต
“ครั้งแรกที่ผมเจอดามาโต เขาเป็นคนควบคุมทุกอย่าง เขาจับมือผมพร้อมกับใบหน้าที่ไร้อารมณ์” ไทสันกล่าว ก่อนที่เขาจะขึ้นลงนวมกับสจวร์ตและโชว์ท่าที่พวกเขาแอบฝึกกันไว้
“สวยมาก” ดามาโตกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา พวกเขาชกกันต่อยกที่ 2 จนไทสันเลือดกำเดาไหล
“พอแล้วๆ เราเห็นพอแล้ว” ดามาโตกล่าว
“ไม่ ผมขอต่ออีก” ไทสันกล่าว “สจวร์ตบอกผมว่าเราไม่มีวันยอมแพ้ ถ้าเริ่มแล้วเราต้องจบ 3 ยก”
สจวร์ตเล่าย้อนถึงวินาทีที่ไทสันบอกดามาโตว่าจะขอต่ออีกว่า ดามาโตดูตื่นเต้นมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ก่อนจะให้ชกต่อในยกที่ 3 ก่อนที่พวกเขาจะไปพูดคุยกันต่อ
ระหว่างที่ไทสันกับสจวร์ตเดินกลับไปที่รถ ไทสันถามเขาว่า
“ผมกลับมาได้ไหม ผมทำดีแล้วใช่ไหม?”
สจวร์ตตอบกลับว่า
“ไม่ เขาบอกว่าแกเป็นคนขาดความมั่นใจ เพราะแชมป์โลกที่แท้จริงต้องไม่สนใจสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว นั่นคือสิ่งที่เขามองแก ไทสัน เขาคิดว่าแกไม่ใช่คนขี้แพ้ ไม่ใช่คนเลว นั่นคือสิ่งที่เขาพูดถึงแกวันแรก แกรู้ไหมว่านี่หมายความว่าอย่างไร แต่แกทำมันพังทั้งหมดในช่วงเวลาเพียงวินาทีเดียว แกต้องแก้ไข”
“ผมพร้อม” ไทสันกล่าวทั้งน้ำตา “ผมพร้อมแล้วที่จะทำงานหนัก”
“ตอนนั่งรถกลับโรงเรียน ผมรู้ตัวแล้วว่าผมจะประสบความสำเร็จ แม้ว่าผมจะพูดกับตัวเองว่าผมเป็นคนไม่ดี แต่ในแก่นเบื้องลึกของผมผมรู้ว่าผมคือพระเจ้า ผมรู้ว่าผมจะประสบความสำเร็จ
“ทุกครั้งที่ผมบอกตัวเองว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้หรือผมอยากจะฆ่าตัวตาย นั่นเป็นเพียงการทำให้ศัตรูของผมสับสน ทุกอย่างที่ผมพูด ผมพูดด้วยเหตุผลบางอย่าง ให้ศัตรูสับสน และนั่นเป็นคอนเซปต์ที่ผมได้เรียนรู้จากดามาโต”
ไทสันได้ร่วมงานกับดามาโตหลังจากนั้น พวกเขาทำงานร่วมกันและสร้างสไตล์การชกที่น่ากลัวที่สุดที่เป็นเอกลักษณ์ของไทสันซึ่งมีชื่อว่า Peak-a-Boo การตั้งการ์ดแบบเอาสองมือไว้ใต้คางและพับศอกไว้ป้องกันลำตัว เพื่อเกมรุกที่ดุเดือดและรวดเร็ว
ดามาโตสอนทั้งวิธีคิดและทัศนคติของการเป็นแชมป์โลกให้กับไทสัน ในวัย 13 ปี นอกจากดามาโตจะรับไทสันเข้ามาฝึกซ้อมแล้ว เขายังรับเลี้ยงไทสันและเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายให้กับไทสัน
แต่วิธีการสอนของดามาโตก็เต็มไปด้วยการทดสอบสภาพความแข็งแกร่งของจิตใจ
“ผมอยากให้คุณมีร่างกายแบบ ไมค์ เวเวอร์ หรือ เคน นอร์ตัน (นักมวยที่มีร่างกายที่ใหญ่โตและกล้ามเนื้อที่น่ากลัวในเวลานั้น) เพราะเขาจะดูน่ากลัวมาก เขาไม่ได้มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่มีร่างกายที่น่ากลัว เขาสามารถทำให้คู่ชกของเขาหวาดกลัวได้ตั้งแต่ก่อนขึ้นชกแล้ว” ดามาโตกล่าวกับไทสัน
“ไม่ต้องห่วงหรอกดามาโต คุณรอดูก็แล้วกัน วันหนึ่งทั่วโลกจะกลัวผม ตอนที่เขาพูดชื่อผมพวกเขาจะเหงื่อออกเป็นเลือดดามาโต” ไทสันตอบ
“วันนั้นเองที่ผมได้กลายร่างเป็น ไอรอน ไมค์”
การทำงานของดามาโตกับไทสันเป็นการร่วมกันสร้างนักฆ่าที่สมบูรณ์แบบ ดามาโตเป็นคนที่มีบุคลิกยอมหักไม่ยอมงอ ในตอนแรกสไตล์ Peak-a-Boo ของเขาก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าไม่เหมาะสม จนกระทั่งเขาได้เจอกับ ไมค์ ไทสัน นักมวยที่สมบูรณ์แบบสำหรับการชกสไตล์นี้
พวกเขาทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี แต่ดามาโตมีปัญหาอย่างหนึ่งคือ ในตอนที่พวกเขาได้เจอกัน ดามาโตอายุ 70 ปีแล้ว
ดามาโตรู้ดีว่าเวลาของเขาเหลือน้อยแล้ว
ดามาโตเชื่อว่ากีฬามวยขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจถึง 90% ดังนั้นเขาจึงผลักดันขีดจำกัดของไทสันทุกวัน โค้ชเขาอย่างหนักทั้งร่างกายและจิตใจให้เขาสมบูรณ์แบบ สร้างความมั่นใจและคอยเติมความกระหายให้กับไทสัน พร้อมทั้งยังบอกไทสันทุกวันว่า เขาเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ รวมถึงยังเป็นคนที่วิจารณ์ไทสันอย่างรุนแรงเมื่อจำเป็น
ตอนที่ไทสันวางมือแล้ว เขายอมรับว่าเขาทั้งรักและกลัวดามาโตในเวลาเดียวกัน
“คนไม่เคยได้ยินเวลาดามาโตพูดกับผม เวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน พวกเขาไม่เคยเห็นเวลาดามาโตทำให้ผมรู้สึกตัวใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ถามผมว่า ‘นี่แกกำลังทำให้ฉันเสียเวลาหรือเปล่า? นี่ฉันเป็นคนแก่ที่กำลังอยู่กับพวกจอมปลอมเหรอเนี่ย’”
หนึ่งในคำถามสำคัญที่สุดของ ไมค์ ไทสัน คือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเจอกับดามาโตและมีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ ไทสันจะหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาในชีวิตนอกสังเวียนของเขาได้หรือไม่?
เพราะหลายคนมองว่าไทสันสูญเสียการโฟกัสและเริ่มต้นหลงทางในวันที่ดามาโตจากไป ในความเชื่อของไทสัน เขาทำตามเป้าหมายที่โค้ชคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาวางไว้แล้วนั่นคือกลายเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่คำถามคือ แล้วหลังจากจะเป็นอย่างไรต่อ?
“ผมหลงทาง” ไทสันเผย
“หลังจากที่ผมคว้าแชมป์ จิตวิญญาณของผมแตกสลาย เพราะผมไม่มีคนนำทาง ผมไม่มีดามาโต”
สิ่งที่ดามาโตทำ บางคนก็มองว่าเป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัว ที่เขากระหายความสำเร็จกับไทสันเสียจนยอมทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้เห็นความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่
ดามาโตได้สร้าง The Perfect Storm บนสังเวียนมวย โดยลืมคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพายุลูกนั้นผ่านพ้นไปแล้ว
แต่อย่างน้อยที่สุด ชีวิตในวันนี้ของไทสัน เขาเองก็ยอมรับและมองเห็นปัญหาต่างๆ ในชีวิตของเขาแล้วเผชิญหน้ากับมันด้วยวิธีการของเขาเอง อย่างน้อยที่สุดไทสันก็ยังอยู่กับเราในวันนี้
และยังเป็นคนที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจในรูปแบบของเขาเอง