โอลิมปิกเกมส์ ปารีส 2024 ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ จะเป็นการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์สมัยที่ 3 และน่าจะเป็นสมัยสุดท้ายของ เอเลียด คิปโชเก ตำนานนักวิ่งมาราธอน เจ้าของสองเหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งระยะมาราธอนได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
ในการแข่งขันครั้งนี้ เอเลียด คิปโชเก ยังคงเชื่อมั่นในคำพูดที่เขากล่าวเอาไว้เองว่า “No Human is limited” หรือมนุษย์ไร้ขีดจำกัด ทำให้เขาตั้งเป้าที่การสร้างสถิติคว้าเหรียญทองมาราธอนในกีฬาโอลิมปิกเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์
แต่นอกจากความเชื่อมั่นในเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้ว คิปโชเกยังมีหลักคิดอีกหนึ่งอย่างคือ
“คนที่มีระเบียบวินัยในชีวิตเท่านั้นถึงจะได้รับอิสรภาพ ถ้าคุณไม่มีระเบียบวินัย คุณจะเป็นทาสของของอารมณ์และแพสชัน”
ประโยคดังกล่าวเป็นเหมือนกับเข็มทิศนำทางในทุกๆ วันที่เขายึดตามแผนฝึกซ้อมในแคมป์ที่บ้านเกิดประเทศเคนยา
ซึ่งแนวคิดนี้ตรงกับหลักการภายในหนังสือ Sports Mind ซึ่งเขียนโดย เจฟฟรีย์ ฮอดเจส ที่อธิบายถึงหลักการในการสร้างแรงบันดาลใจในแต่ละวันที่แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ Positive Influence และ Negative Influence
ทุกคนอาจจะคุ้นเคยกับการสร้างแรงบันดาลใจว่าเป็นเพียงสิ่งเดียว แต่ความจริงแล้วแรงบันดาลใจทำงานได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ
ข้อแตกต่างระหว่าง Positive Influence และ Negative Influence คือ
Positive Influence เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเบื้องลึกของจิตใจที่ตอบสนองต่อความปรารถนาและเป็นแรงผลักดันในมุมมองที่ดี
ยกตัวอย่างเช่น Positive Influence เป็นแรงผลักดันให้เราทำกิจวัตรประจำวันอะไรบางอย่าง โดยคาดหวังให้ได้ผลตอบแทนที่ดีต่อตัวเองในอนาคต อย่างเช่น คนที่เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหรือออกกำลังกายในทุกวัน เพราะรู้สึกดีจากการทำสิ่งเหล่านี้
นักกีฬาบางคนอาจเลือกที่จะตื่นเช้ามาซ้อมเพิ่มครึ่งชั่วโมงทุกวัน เพราะเขาต้องการจะพัฒนาเกมของตัวเองให้ดีขึ้น
Negative Influence จะมาจากการที่รู้สึกถูกบังคับให้ทำ เพราะหวาดกลัวผลเสียที่จะเกิดขึ้นหากไม่ทำหรือจะโดนลงโทษถ้าไม่ทำ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่จ่ายภาษีจะโดนปรับ บางคนเลือกที่จะไม่สูบบุหรี่เพราะกลัวที่จะป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ทั้งสองด้านของแรงบันดาลใจต่างก็มีบทบาทในชีวิตของเรา เพราะเราก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบของการตัดสินใจในแต่ละวัน
แต่มีหลายครั้งที่ Negative Influence ครอบงำจิตใจเสียจนคนคนนั้นไม่กล้าที่จะก้าวไปสู่ขีดความสามารถที่เขาควรจะเป็น หรือกดดันตัวเองจนไม่สามารถทำผลงานที่ดีที่สุดออกมาได้
Sports Mind ได้ยกตัวอย่างว่า นักกีฬามีทั้งคนที่ใช้แรงผลักดันแบบ Positive เพื่อไปสู่ความสำเร็จ แต่ขณะเดียวกันก็มีนักกีฬาที่เลือกใช้ Negative ด้วยการกดดันตัวเองอย่างหนัก เพื่อทำให้ผลงานให้ออกมาดีที่สุด เช่น จอห์น แมคเอ็นโร ตำนานนักเทนนิสชาวอเมริกันที่มักจะกดดันตัวเองอยู่เสมอ เพราะต้องการเป็นคนที่เก่งที่สุด
แต่ในระยะยาวเจฟฟรีย์เชื่อว่า Positive Influence จะนำพาความสำเร็จมาได้อย่างยั่งยืนกว่า
เพราะการใช้ Negative Influence คือการกดดันตัวเองตลอดเวลาเพื่อทำผลงานให้ดีขึ้น ผลักตัวเองให้ออกไปทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็อาจจะขาดแรงดึงดูดให้ทำในสิ่งนั้น เพราะพวกเขามองว่านี่เป็นสิ่งที่ ‘ต้องทำ’ เท่านั้น
และเมื่อถูกผลักด้วยพลังลบตลอดเวลา สุดท้ายก็มีโอกาสสูงที่เราจะไปถึงจุดที่เรียกว่า Burnout ทั้งร่างกายและจิตใจได้รวดเร็วกว่า
ในมุมกลับกัน หากเลือกใช้ Positive Influence เป็นแรงดึงดูด โดยยึดความคิดที่ว่า เราเองเป็นคนกำหนดชีวิตของเราในแต่ละวัน
เมื่อนั้นแรงกดดันจะน้อยลง แต่แรงดึงดูดให้ทำในสิ่งที่สำคัญต่อเป้าหมายของเราจะเพิ่มมากขึ้น เพราะการตัดสินใจของเราจะถูกดึงดูดด้วยเป้าหมายระยะยาวที่ยึดจากความปรารถนาที่แท้จริง
วิธีการหนึ่งที่ดีที่สุดจากเจฟฟรีย์ที่เขาได้ให้คำแนะนำภายในหนังสือ Sports Mind ก็คือ ให้เริ่มต้นจากการมองเห็นสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจทำอะไรก็ตามในแต่ละวัน มากกว่าผลเสียที่จะตามมาหากคุณไม่ทำสิ่งนั้น
ซึ่งการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจาก Negative Influence เป็น Positive Influence ก็อาจนำพามาซึ่งมุมมองใหม่ในการผลักดันตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้
และแน่นอนว่าไม่มีเวลาที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงความคิดได้ดีที่สุดเท่ากับวันนี้ เหมือนกับที่ เอเลียด คิปโชเก เคยกล่าวไว้ว่า
“ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นปลูกต้นไม้คือ 25 ปีก่อน และช่วงเวลาที่ดีที่สุดรองลงมาคือการเริ่มต้นวันนี้”