ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ออกมาประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (27 กรกฎาคม) ว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบถ้วนแล้วและอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรจะกลับมาสวมหน้ากากอนามัยในอาคารที่เป็นที่สาธารณะอีกครั้ง ซึ่งเป็นการกลับลำจากคำแนะนำที่ให้ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่ง CDC เคยระบุว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยกลางแจ้งและสามารถเลี่ยงการสวมหน้ากากในอาคารในสถานที่ส่วนใหญ่ได้
รายละเอียดเป็นอย่างไร เราสรุปมาให้ได้อ่านกัน
- 27 กรกฎาคม 2021 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) มีการเปลี่ยนแปลงคำแนะนำด้านสาธารณสุข ‘ชั่วคราว’ สำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดครบถ้วนแล้ว ระบุชัดเจนว่าเป็นไปตามหลักฐานใหม่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลตาที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยมีการเพิ่มเติมคำแนะนำให้ ‘ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบถ้วนแล้ว’ สวมหน้ากากอนามัยในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะ หากอยู่ในพื้นที่ที่มีการแพร่เชื้อ ‘หนาแน่น (Substantial)’ หรือ ‘สูง (High)’ หรือหากเปรียบเทียบเป็นสีตามเว็บไซต์ของ CDC ก็คือพื้นที่สีส้มและสีแดง ตามลำดับ (แต่ละสีมีความหมายอย่างไร จะมีคำตอบในช่วงถัดไปของบทความ)
- นอกจากนี้ ผู้ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดครบถ้วนแล้วยังอาจเลือกสวมหน้ากากอนามัยโดยไม่จำกัดว่าพื้นที่ที่อยู่นั้นจะมีการแพร่เชื้ออยู่ในระดับใด โดยเฉพาะในกรณีที่พวกเขามีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมีความเสี่ยงมากกว่าที่จะมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด หรือในกรณีหากมีคนในครอบครัวที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีความเสี่ยงมากกว่าที่จะมีอาการเจ็บป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อโควิดหรือยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน
- หากผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วทราบว่าได้ไปสัมผัสกับผู้ที่สงสัยหรือยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิด คำแนะนำที่เปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดนี้ก็แนะนำให้ไปตรวจหาเชื้อโควิดใน 3-5 วันหลังการสัมผัส และสวมหน้ากากอนามัยในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะเป็นเวลา 14 วัน หรือจนกว่าจะได้รับผลการตรวจเชื้อว่าเป็นลบ
- ส่วนในสถานศึกษานั้น CDC แนะนำให้ครู บุคลากร นักเรียน และผู้มาเยือนในโรงเรียน ‘ทุกคน’ สวมหน้ากากอนามัยแบบถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดสถานะว่าฉีดวัคซีนครบแล้วหรือยัง และยังคงระบุว่า ‘เด็กๆ ควรกลับคืนสู่การเรียนแบบต่อหน้าเต็มเวลาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงโดยมีกลยุทธ์การป้องกันที่เหมาะสม’
- เราขอถอยออกมาอธิบายภาพรวมสักนิดว่า อัตราการแพร่เชื้อในชุมชนตามเว็บไซต์ของ CDC มีด้วยกัน 4 ระดับ ไล่ตามอัตราจากน้อยไปมากและแบ่งเป็นสี ได้แก่ สีเขียว ระดับต่ำ (Low), สีเหลือง ระดับปานกลาง (Moderate), สีส้ม ระดับหนาแน่น (Substantial) และสีแดง ระดับสูง (High)
- เกณฑ์การจัดกลุ่มพื้นที่ก็คือ พื้นที่ที่มีอัตราการแพร่เชื้อในชุมชนอยู่ในระดับหนาแน่นหรือสีส้ม จะมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ตั้งแต่ 50-99.99 ราย ต่อประชากร 100,000 คน ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ‘หรือ’ มีการตรวจโควิดแบบ Nucleic Acid Amplification Tests (NAATs) ที่ได้ผลเป็นบวกสะสมในช่วง 7 วันที่ผ่านมา อยู่ระหว่างร้อยละ 8-9.99 ทั้งนี้ CDC ระบุว่าหากอยู่ในระดับนี้ กิจกรรมในชีวิตประจำวันควรถูกจำกัดเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อและปกป้องระบบการดูแลสุขภาพ
- ส่วนพื้นที่ที่อยู่ในระดับสูงหรือสีแดง จะมีสัดส่วนผู้ติดเชื้อรายใหม่ตั้งแต่ 100 รายขึ้นไป ต่อประชากร 100,000 คน ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ‘หรือ’ มีการตรวจโควิดแบบ Nucleic Acid Amplification Tests (NAATs) ที่ได้ผลเป็นบวกสะสมในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป หากพื้นที่ใดอยู่ในระดับนี้ CDC ระบุว่า ‘จำเป็นต้องมี’ มาตรการที่สำคัญเพื่อจำกัดการติดต่อระหว่างบุคคล โดยให้ความสำคัญกับการรักษากิจกรรมและบริการที่จำเป็นในชุมชน (เช่น การดูแลสุขภาพ การขนส่ง อาหารและการเกษตร และโรงเรียน)
- ซึ่ง CDC บอกว่าเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขควรมีการประเมินสถิติเหล่านี้รายสัปดาห์ และปรับเปลี่ยนข้อจำกัดต่างๆ ในท้องถิ่นไปตามสถิติที่ประเมินได้นี้ด้วย
- ข้อมูลจาก CDC ที่สืบค้น ณ วันที่ 28 กรกฎาคม ระบุว่า มีเขตการปกครองในระดับเคาน์ตี (County) ที่มีระดับของการแพร่เชื้อในชุมชนอยู่ในระดับ ‘สูง’ หรือสีแดง และ ‘หนาแน่น’ หรือสีส้ม ที่ 46.43% และ 17.02% ของจำนวนเคาน์ตีทั้งหมดในสหรัฐฯ ตามลำดับ นั่นหมายถึงหากพื้นที่สองสีนี้รวมกันก็คิดเป็นเกือบ 2 ใน 3 ของเคาน์ตีทั้งหมดทั้งประเทศแล้วที่เข้าเกณฑ์เป็นพื้นที่สีแดงหรือสีส้ม
- และถ้าใช้เกณฑ์ ‘พื้นที่สีส้มและแดง’ ในการแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะ นั่นหมายถึงประชากรในรัฐฟลอริดา อาร์คันซอ และลุยเซียนา ‘ทุกคน’ ควรต้องสวมหน้ากากอนามัยในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะตามเกณฑ์นี้แล้ว นอกจากนี้ เมื่อดูจากแผนที่แบบย้อนหลังซึ่งย้อนไปได้มากที่สุดราว 1 เดือน ก็พบว่าจำนวนเคาน์ตีที่มีระดับของการแพร่เชื้อในชุมชนอยู่ในระดับสีแดงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่ช่วงนั้นแล้วด้วย
- ส่วนการรายงานจากสื่อสหรัฐฯ อย่าง The New York Times รายงานว่าสถานการณ์ในสหรัฐฯ ตอนนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ ขณะที่ก็มีรายงานการติดเชื้อทั้งที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือที่เรียกว่า ‘Breakthrough Infection’ กับเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
- ซึ่งจากแนวปฏิบัติที่เพิ่งปรับโดย CDC ดังกล่าว บางรัฐก็นำแนวปฏิบัตินี้ไปปรับใช้ทันที เช่น รัฐอิลลินอยส์และรัฐเนวาดา โดยตั้งแต่วันศุกร์นี้ ผู้อาศัยในเคาน์ตีที่มีอัตราการแพร่เชื้อสูงในรัฐเนวาดาจะต้องสวมหน้ากากในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะโดยไม่จำกัดว่ารับวัคซีนครบแล้วหรือไม่ คำสั่งนี้ยังครอบคลุมถึงเคาน์ตีที่เป็นที่ตั้งของเมืองลาสเวกัสด้วย ส่วนผู้อำนวยการด้านสาธารณสุขของรัฐอิลลินอยส์ก็บอกว่ายังคงเห็นการแพร่ระบาดของไวรัสอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ทั้งๆ ที่มีข้อมูลประสิทธิผลของวัคซีนในปัจจุบัน
- “เชื้อสายพันธุ์เดลตากำลังแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของมันที่จะได้เปรียบเหนือเราอยู่ทุกวัน” ดร.โรเชลล์ พี วาเลนสกี ผู้อำนวยการ CDC ระบุ เธอยังบอกว่าในบางกรณี ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วบางคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาหลังฉีดวัคซีนอาจมีโอกาสแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้ แม้ว่าเธอจะย้ำว่าสหรัฐฯ อยู่ในภาวะ ‘โรคระบาดของผู้ที่ยังไม่ฉีดวัคซีน’ อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้ในอดีต แต่เธอก็กล่าวเช่นกันว่ากังวลถึงการที่ผู้ที่ติดเชื้อทั้งที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจะส่งผ่านเชื้อไปยังสมาชิกในครอบครัวที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ แต่กับกรณีเชื้อสายพันธุ์อัลฟา เจ้าหน้าที่ทางการไม่เชื่อว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถส่งต่อไวรัสได้
- ดร.วาเลนสกีบอกว่าการสวมหน้ากากเป็นเพียง ‘มาตรการชั่วคราว’ และบอกว่าสิ่งที่ต้องทำจริงๆ เพื่อลดการแพร่เชื้อในพื้นที่ที่มีการแพร่เชื้อสูงก็คือการให้ผู้คนเข้ารับการฉีดวัคซีนให้มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ใช้หน้ากากอนามัยด้วย
- ขณะที่ความเห็นจาก ดร.อาลี มอคแดด นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน และอดีตนักวิทยาศาสตร์ของ CDC บอกว่า CDC ควรให้คำแนะนำแบบถ้วนหน้า ให้ชาวอเมริกันทุกคนสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในอาคารแทนที่จะแนะนำเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่เชื้อสูง เพราะตอนนี้ทุกรัฐเองก็อยู่ในช่วงที่มีการแพร่เชื้อเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว
- ด้าน โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้ำเกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้องฉีดวัคซีนว่า ยิ่งเรียนรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสและเชื้อสายพันธุ์เดลตามากขึ้น ก็ยิ่งต้องกังวลมากขึ้นเท่านั้น เขาบอกว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่รู้แน่ก็คือหากมีคนอีกร้อยล้านคนได้รับการฉีดวัคซีน เราจะอยู่ในโลกที่ต่างออกไปมากๆ
- ขณะเดียวกัน ไบเดนก็ยอมรับว่ากำลังพิจารณาว่าจะออกข้อบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางรับการฉีดวัคซีนหรือไม่ โดยเรื่องนี้ สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นดังกล่าวว่า ทำเนียบขาวกำลังพิจารณาว่าเจ้าหน้าที่จะต้องยืนยันว่าพวกเขาได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว หรือเข้ารับการตรวจหาเชื้อเป็นประจำและปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่เข้มงวด อาทิ การสวมหน้ากากอนามัย และเมื่อวันอังคาร ทำเนียบขาวก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ต้องสวมหน้ากากขณะอยู่ที่ทำเนียบขาวอีกครั้ง
- สหรัฐอเมริกามีประชากรที่รับวัคซีนครบตามจำนวนเข็มที่กำหนด (Fully Vaccinated) แล้วคิดเป็นร้อยละ 49.3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่หากพิจารณาเฉพาะผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปเท่านั้น สัดส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 57.6 และค่าเฉลี่ย 7 วัน (7-Day Moving Average) ของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน ณ วันที่ 27 กรกฎาคม อยู่ที่ 61,976 ราย ซึ่งถือเป็นขาขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน แต่ก็ยังต่ำกว่าจุดพีกในการระบาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าเฉลี่ยดังกล่าวเคยไปอยู่ที่ระดับมากกว่า 250,000 รายมาแล้ว ขณะที่ค่าเฉลี่ย 7 วันของจำนวนผู้เสียชีวิตต่อวันอยู่ที่ 300 ราย เพิ่มขึ้นมาจากระดับต่ำสุดที่ราวร้อยรายเศษเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ภาพ: Spencer Platt / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/fully-vaccinated-guidance.html
- https://covid.cdc.gov/covid-data-tracker/
- https://www.nytimes.com/2021/07/27/health/cdc-masks-indoors-delta-variant.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-07-27/biden-says-considering-mandatory-vaccines-for-federal-workers?sref=CVqPBMVg
- https://www.france24.com/en/americas/20210728-us-reverses-mask-policy-saying-vaccinated-people-should-wear-them-indoors
- https://www.channelnewsasia.com/news/world/covid-19-us-vaccinated-people-high-risk-areas-need-mask-again-15313242