วันนี้ (13 มิถุนายน) นับเป็นวันแรกที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเริ่มไต่สวนกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวที่ ชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจ หลังเดินทางกลับประเทศไทยในรอบ 15 ปี และเข้ารับทราบ 3 หมายจับ รวมถึงตามที่ทักษิณประกาศว่าจะกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน
เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมงที่ศาลได้ใช้เวลาซักถาม ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร พยานคนแรกอย่างละเอียด พร้อมตามมาด้วยการสั่งเรียกเอกสารและพยานมาสอบเพิ่มเติมอีกถึง 20 ปาก
THE STANDARD ได้สรุปเหตุการณ์และสาระสำคัญที่เกิดขึ้นในห้องไต่สวนดังนี้
การไต่สวน ผบ.เรือนจำ ถามย้ำขั้นตอนการส่งตัว-ผลวินิจฉัยแพทย์
บุคคลแรกที่ศาลได้ไต่สวนคือ มานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน ซึ่งศาลได้ซักถามในขั้นตอนการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำอย่างเข้มข้น
มานพชี้แจงถึงกระบวนการในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่รับตัวทักษิณจากศาลฎีกาฯ มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการตรวจร่างกายโดย พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งลงรายละเอียดในใบรับรองแพทย์ว่า ทักษิณมีโรคความดันสูง โรคหัวใจ อยู่ในกลุ่ม 608 และแพทย์เขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าสำหรับกรณีฉุกเฉิน
ผู้บัญชาการเรือนจำฯ เปิดเผยว่า เวลา 22.00 น. ของวันดังกล่าว พยาบาลของสถานพยาบาลภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้าตรวจทักษิณ พบว่ามีความดันผิดปกติ ออกซิเจนในเลือดผิดปกติ มีอาการแน่นหน้าอก นอนไม่หลับ แขนขาอ่อนแรง พยาบาลจึงปรึกษาแพทย์ของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทางโทรศัพท์
ซึ่งแพทย์ให้ความเห็นว่าสามารถส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำฯ ได้ทันที เนื่องจากมีใบส่งตัวอยู่แล้ว พัศดีเวรจึงมีคำสั่งตามคำวินิจฉัยแพทย์ และส่งตัวทักษิณไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่ได้มีการนำตัวทักษิณไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน
เมื่อศาลถามว่าปกติแพทย์มีการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหรือไม่ มานพยืนยันว่ามี และเป็นเรื่องปกติในกรณีผู้ป่วยกลุ่ม 608 แต่กรณีของทักษิณตนไม่ทราบเหตุผล ส่วนอาการในคืนนั้นที่ตรงกับใบส่งตัวที่ถูกเขียนล่วงหน้า มานพระบุว่าตนเห็นแค่ตามรายงานเอกสารเท่านั้น
ประวัติการรักษาและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ศาลได้ทวงถามถึงประวัติการรักษาจากต่างประเทศของทักษิณ เนื่องจากยังไม่มีการส่งหลักฐานให้กับศาล พร้อมถามถึงรายละเอียดการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำว่ามีขั้นตอนอย่างไร และอาศัยอำนาจกฎหมายใด
มานพชี้แจงว่า เป็นขั้นตอนตามมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ปี 2560 โดยไม่ได้ใช้การส่งตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ซึ่งการส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์นั้น จะนับวันการทุเลาโทษด้วย
ผู้บัญชาการเรือนจำยังกล่าวว่า การส่งตัวทักษิณตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มีการนับวันลดโทษ รวมถึงมีการซักถามถึงกฎกระทรวงที่ระบุว่านักโทษไม่สามารถแยกนอนห้องพิเศษได้ แต่มีข้อยกเว้นตามอาการ เช่น วัณโรค หรือป่วยวิกฤต
เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้มีนักโทษคดีทางการเมืองถูกส่งไปรักษานอกเรือนจำแบบทักษิณหรือไม่ มานพตอบว่าตนไม่ทราบ แต่ในระยะเวลาที่ตนดำรงตำแหน่งมานั้นมี เช่น ผู้ป่วยจิตเวช หรือผู้ป่วยมะเร็งที่ส่งไปรักษานอกเรือนจำ
การควบคุมตัวและเอกสารเพิ่มเติม
ศาลยังถามต่อว่าขณะทักษิณรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ มีการส่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไปควบคุมตลอดเวลาหรือไม่ มานพชี้แจงพร้อมแสดงเอกสารว่ามีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ 4 คน แบ่งเป็นเวรละ 2 คน สลับกลางวัน-กลางคืน โดย 1 คนสามารถเข้าเวรต่อเนื่องได้ 24 ชั่วโมง และมีการลงชื่อในสมุดเข้าเวรทุกครั้ง รวมถึงเซ็นเบิกค่าเงินเข้าเวรด้วย
ศาลจึงขอหลักฐานการเบิกเงินเข้าเวร โดยให้ส่งมาพร้อมกับประวัติการรักษาตัวของทักษิณในต่างประเทศภายใน 15 วัน
การซักค้านพยานและข้อจำกัดของทนายความ
ศาลเปิดโอกาสให้คู่ความไต่สวนพยานได้ แต่ต้องไม่เป็นการซักค้านศาล โดย วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของทักษิณ ขออนุญาตศาลสอบถามข้อมูลบางส่วนกับพยานโดยตรงในชั้นไต่สวน
แต่ศาลชี้แจงว่าไม่สามารถอนุญาตให้ทนายความจำเลยถามคำถามต่อพยานได้โดยตรง แต่ศาลจะเป็นผู้พิจารณาแต่ละคำถามตามความเหมาะสม
ทนายวิญญัติเริ่มถามข้อที่ 1 ว่า กรมราชทัณฑ์ทำ MOU ร่วมกับโรงพยาบาลอื่น เช่น โรงพยาบาลตำรวจ ในการส่งตัวผู้ต้องขังที่ป่วยออกไปรักษานอกความดูแลของกรมราชทัณฑ์หรือไม่ ซึ่งศาลตอบแทนพยานว่ากรมราชทัณฑ์มี MOU ในเอกสารที่ยื่นต่อศาลอยู่แล้ว
คำถามที่ 2 ที่ผ่านมาทางเรือนจำฯ มีกรณีส่งตัวผู้ต้องขังที่ป่วยไปรักษาภายนอกโดยไม่ผ่านขั้นตอนโรงพยาบาลเรือนจำฯ หรือไม่ ซึ่งข้อนี้ศาลไม่อนุญาตให้ถาม
ส่วนคำถามที่ 3 พยานรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่าผู้ต้องขังมีประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศ ไม่ใช่เพิ่งมีอาการ มานพระบุว่า ไม่ทราบ
คำถามที่ 4 เรื่องจำนวนผู้ต้องขังที่ถูกคุมตัวออกไปรักษานอกเรือนจำทั่วประเทศในระหว่างมานพปฏิบัติราชการ ศาลไม่อนุญาตให้ถาม
คำถามที่ 5 ตามกฎกระทรวงเรื่องการคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำ เจ้าหน้าที่ต้องมีการควบคุมตัวตลอดเวลาใช่หรือไม่ ศาลแจ้งกลับว่านัดหมายเรียกพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ที่ควบคุมตัวทักษิณมาไต่สวนแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ถาม
คำถามที่ 6 เรื่องแนวทางปฏิบัติกฎกระทรวงปี 2563 และมาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำ (SOP) เกิดขึ้นก่อนกรณีของทักษิณหรือไม่ มานพยืนยันว่าใช่
คำถามที่ 7 เรื่องการรับโทษแล้วหรือไม่ของทักษิณ สืบเนื่องจากที่ราชทัณฑ์ซักประวัติ ถ่ายรูป ตรวจร่างกายเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ศาลไม่อนุญาตให้ถามเพราะจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง
คำถามที่ 8 เรื่องจำนวนพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในเรือนจำ มานพระบุว่า พยาบาล 1 คนต่อ 1 เวร จะต้องดูแลผู้ต้องขัง 4,000 คน
คำถามที่ 9 กลุ่ม 608 ของราชทัณฑ์คือกลุ่มอะไร ศาลแนะนำว่าทนายจำเลยควรสอบถามแพทย์มากกว่า แต่ทนายวิญญัติยืนยันจะถามผู้บัญชาการเรือนจำ มานพจึงชี้แจงว่า กลุ่ม 608 หมายถึงกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ป่วยด้วย 8 โรค ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรือนจำต้องดูแลอย่างใกล้ชิด และคำว่ากลุ่ม 608 เกิดขึ้นในสมัยการแพร่ระบาดของโควิด
กำหนดนัดหมายเพิ่มเติมและพยานปากสำคัญ
ต่อมาเวลา 10.30 น. ทนายวิญญัติได้ขออนุญาตศาลขยายระยะเวลาการส่งเอกสารเพิ่มเติมภายในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ และขอเบิกตัวพยานฝ่ายจำเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะส่งรายชื่อและรายละเอียดให้ศาลพิจารณา
ศาลระบุว่า ในคดีดังกล่าวจะมีการไต่สวนอีกหลายนัดและมีการเรียกพยานมา และขอให้ทนายจำเลยทำเรื่องมาตามระเบียบกฎหมาย ซึ่งศาลจะวินิจฉัยเองว่าจะได้หรือไม่
ทนายวิญญัติยังขอศาลไม่ให้มีนัดในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากทักษิณมีกำหนดนัดคดี ม.112 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะต้องไปปรากฏตัว
แต่ศาลชี้แจงว่าทางศาลเองมีข้อจำกัดในการกำหนดนัดผู้พิพากษาและการจัดเตรียมสถานที่ จึงขอให้ทีมทนายความจัดสรรเวลาและผู้มาฟัง การไต่สวนทางทักษิณไม่จำเป็นต้องเดินทางมาด้วยตนเอง สามารถมอบหมายทนายความให้เป็นตัวแทนได้
ทนายความวิญญัติชี้แจงว่า อยากขอความเมตตาเนื่องจากเป็นทนายความเพียงคนเดียวที่ได้เข้าเยี่ยมทักษิณขณะพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ อีกทั้งทักษิณจำเป็นต้องมีทนายความที่ไว้วางใจในการเดินทางขึ้นศาลแต่ละครั้ง
ท้ายที่สุด ศาลได้นัดไต่สวนพยานในครั้งถัดไปคือวันที่ 4, 8, 15, 18, 25 และ 30 กรกฎาคม 2568 พร้อมเรียกพยานสอบ 3 นัดถัดไปรวม 20 ปาก โดยแบ่งเป็น:
4 กรกฎาคม: กลุ่มแพทย์ พยาบาล ทั้งในสถานพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ, ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ
8 กรกฎาคม: กลุ่มเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ไปควบคุมทักษิณที่โรงพยาบาลตำรวจ
15 กรกฎาคม: กลุ่มผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ได้แก่ อธิบดีกรมราชทัณฑ์, รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์, อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และอดีตผู้บัญชาการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
เรียกเอกสารเพิ่มเติมจากคู่ความและบรรยากาศในห้องไต่สวน
นอกจากนี้ ศาลยังได้เรียกเอกสารเพิ่มจากฝ่ายโจทก์ คือสำนักงานอัยการสูงสุด และ ป.ป.ช. โดยขอเอกสารจาก ป.ป.ช. ถึงรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) และมติแพทยสภาเมื่อวานนี้ (11 มิถุนายน) ที่มีการพิจารณากรณีส่งตัวทักษิณรักษาที่ชั้น 14 ส่วนสำนักงานอัยการสูงสุดศาลไม่ได้ขออะไรเพิ่ม และไม่ได้มีการชี้แจงในชั้นศาลเพิ่มเติมเช่นกัน
สำหรับบรรยากาศในห้องไต่สวน องค์คณะผู้พิพากษา 5 ท่าน มี 3 ท่านที่ผลัดกันซักถามผู้บัญชาการเรือนจำใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นเปิดโอกาสให้ทางทนายจำเลยซักถาม 20 นาที ก่อนจะอ่านสรุปรายงานพร้อมนัดวันไต่สวน
ระหว่างการไต่สวน มานพตอบทุกคำถาม แต่ไม่สามารถตอบได้ละเอียดในบางคำถาม เนื่องจากเพิ่งมาดำรงตำแหน่งหลังจากเกิดเรื่องแล้ว ทันทีที่การไต่สวนจบ วิญญัติได้เดินเข้าไปพูดคุยกับมานพด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในห้องไต่สวน ยังมี นิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายความนกเขา, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์, ผศ. นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ศิษย์เก่าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และอดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, คมสัน โพธิ์คง นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ และ วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เข้าร่วมสังเกตการณ์การพิจารณาครั้งนี้ด้วย