เมื่อการเปิดโปงของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล และ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ กลายเป็นคลื่นยักษ์สาดซัดเข้าใส่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปมทุจริตซื้อขายตำแหน่งที่ถูกลากไส้ออกมาตีแผ่ ได้เปลือยให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบบริหารงานบุคคล และสงครามขั้วอำนาจระดับสูงที่กัดกร่อนศรัทธาองค์กรอย่างรุนแรง
เมื่อเงินตรา สำคัญกว่าความสามารถ
การออกมาแฉข้อมูลเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าหลักเกณฑ์ในการเลื่อนตำแหน่งที่ควรจะยึดถือเรื่อง อาวุโส ความรู้ความสามารถ และผลงานตามระบบคุณธรรมนั้น อาจถูกบิดเบือนโดยผลประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยระบุถึงตัวเลขมูลค่าในการซื้อขายตำแหน่งที่สูงลิ่วและมีอัตราที่ชัดเจน เช่น กรณีการเลื่อนตำแหน่งนายตำรวจ 4 นายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการใช้ทรัพย์สินแลกเปลี่ยนรวมมูลค่าสูงถึง 24 ล้านบาท หรือการขยับตำแหน่งจากรองผู้กำกับการ ขึ้นเป็น ผู้กำกับการ ต้องเสียเงิน 5-7 ล้านบาท เพื่อให้สามารถเลือกพื้นที่ทำเลทองได้
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลย้อนหลังเรื่องการจ่ายเงินเพื่อแลกตำแหน่งในวาระประจำปี 2560 ตั้งแต่หลักแสนไปจนถึง 2.5 ล้านบาท
ขบวนการซื้อขายตำแหน่งที่ถูกกล่าวอ้าง มีความเกี่ยวข้องกับบุคลากรหลายระดับ ตั้งแต่ระดับพลตำรวจเอก, พลตำรวจโท, คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ไปจนถึง คุณหญิง หรือแม้กระทั่ง ภรรยาน้อยของ ก.ตร. ที่มีการแอบอ้างชื่อสามีในการซื้อขายตำแหน่ง
แม้จะมีการตรา พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ขึ้นด้วยเหตุผลหลักเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตาม ระบบคุณธรรมที่ชัดเจน และเพื่อให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่ได้อย่าง มีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องยืนยันว่าโครงสร้างเดิมยังคงมีปัญหาด้านความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งอยู่อย่างชัดเจน
สงครามตัวแทน ความแตกแยกของขั้วอำนาจระดับสูง
การกล่าวหาเรื่องการทุจริตได้เปิดเผยให้เห็นถึง ความขัดแย้งทางอำนาจ ที่รุนแรงและเรื้อรังระหว่างบุคลากรระดับสูงภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
กรณีความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล (อดีต ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (อดีตรอง ผบ.ตร.) มีลักษณะ ต่อเนื่อง ติดกันตลอดเวลา และเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาสาธารณชนว่ามีการ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทั้งในด้านการบริหารงานบุคคลและงานด้านกระบวนการยุติธรรม
ความขัดแย้งนี้ได้ลุกลามจนถึงขั้นมีการ กล่าวหาต่อกันในเรื่องส่วนตัว และมีการ ดำเนินคดีอาญาซึ่งกันและกัน ส่งผลให้องค์กรตำรวจไม่สามารถหาข้อยุติได้ด้วยกลไกภายใน จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีต้องใช้อำนาจบริหารออกคำสั่งให้ทั้งสองฝ่ายมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระดับผู้นำเหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทำลาย ความเชื่อมั่นของประชาชน เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจอย่างรุนแรง
ทางตันการตรวจสอบ เมื่อต้องพึ่งพา ‘กลไกภายนอก’
การออกมาแฉข้อมูลการทุจริตผ่านสื่อ ยังสะท้อนถึงโครงสร้างที่ขาดแคลนกลไกภายในที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหา เพราะการที่ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ต้องนำหลักฐานไปยื่นต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเอาผิดผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติและพวก และการที่ต้องนำหลักฐานทั้งหมดไปเปิดเผยต่อ ที่ประชุมกรรมาธิการตำรวจ รัฐสภา บ่งชี้ว่าช่องทางการตรวจสอบภายในองค์กรอาจไม่เพียงพอหรือขาดความน่าเชื่อถือ ทำให้ต้องพึ่งพากลไกภายนอกเพื่อเปิดโปงขบวนการซื้อขายตำแหน่ง
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 จึงได้กำหนดให้มี คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เพื่อพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เรื่องร้องทุกข์จากผู้บังคับบัญชา และมี คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เพื่อเป็นกลไกสำหรับประชาชนในการร้องเรียน ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการเหล่านี้สะท้อนถึงการยอมรับว่าโครงสร้างเดิมมีช่องโหว่ทางด้านการคุ้มครองความเป็นธรรมให้แก่ทั้งตำรวจและประชาชน
การกล่าวหาเรื่องการทุจริตและการซื้อขายตำแหน่งในครั้งนี้ เปรียบเสมือน กระจกสะท้อนรอยร้าวขนาดใหญ่ในเสาหลักขององค์กรตำรวจ ซึ่งรอยร้าวนี้ไม่ใช่แค่การกระทำผิดส่วนบุคคล แต่เป็นความบกพร่องของระบบที่ทำให้เงิน มีความสำคัญกว่าผลงาน ในการเติบโตในสายอาชีพ และเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจระดับสูงจนกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่และศรัทธาของสาธารณชนในที่สุด


