×

เปิดจดหมายแม่อดีตผู้กำกับโจ้ นักโทษคดีคลุมถุงดำ ความเป็นธรรมที่วอนขอให้ลูกชายที่ถูกทำร้ายในคุกคลองเปรม

โดย THE STANDARD TEAM
08.03.2025
  • LOADING...

“ข้าพเจ้าเกรงว่าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยเร็ว อาจนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าขอความเมตตาและความกรุณาจากท่านโปรดพิจารณาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน เพื่อปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของผู้ถูกรังแก”

 

ข้อความส่วนหนึ่งของจดหมายร้องเรียนที่แม่ของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีตผู้กำกับโจ้ ผู้ต้องขังคดีคลุมถุงดำผู้ต้องหายาเสพติดระหว่างสอบสวนเมื่อปี 2564 เขียนขึ้นหลังจากรู้ว่าลูกชายที่อยู่ในการดูแลของเรือนจำกลางคลองเปรมไม่ได้รับสวัสดิภาพในชีวิต

 

THE STANDARD ได้ถอดข้อความสำคัญที่ถูกเขียนในเอกสารคำร้องดังกล่าวก่อนเกิดเหตุการณ์จบชีวิตของอดีตผู้กำกับโจ้เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ดังนี้

 

“คำร้องเรียนจัดทำในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

 

เรื่อง: การกลั่นแกล้งและการใช้ความรุนแรง โดยเจ้าหน้าที่ควบคุม

เรียน: อธิบดีกรมราชทัณฑ์

 

ข้าพเจ้า จันทา เกี่ยวข้องเป็นมารดา ของธิติสรรค์ อุทธนผล

 

ด้วยข้าพเจ้า ใคร่ขอร้องเรียนพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ควบคุมสิทธิพร ซึ่งมีการกระทำอันส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัย และสิทธิขั้นพื้นฐานของนักโทษ ธิติสรรค์ อุทธนผล อย่างร้ายแรง เพื่อให้การชี้แจงเหตุการณ์มีความชัดเจน ขอแยกพฤติการณ์ออกเป็นสองช่วงเวลา ดังต่อไปนี้

 

เจ้าหน้าที่ควบคุม สิทธิพร 

ตำแหน่ง: รองหัวหน้าแดน 7

ปฏิบัติหน้าที่ ณ เรือนจำกลางคลองเปรม (เลขที่ 33/2 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900)

นักโทษที่แกล้ง: สุรเชษ 

ผู้ถูกรังแก: ธิติสรรค์ อุทธนผล (อดีตผู้กำกับโจ้)

 

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปลายปี พ.ศ. 2567 (ประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคม)

 

เหตุการณ์เริ่มต้นจากนักโทษ สุรเชษ ได้พูดใส่ร้ายธิติสรรค์ กับเจ้าหน้าที่ควบคุมหลายคน ทำให้ผู้คุมหลายคนมีทัศนคติที่ไม่ดีกับธิติสรรค์ และต่อว่าธิติสรรค์ ยกตัวอย่างเช่น บอกกับผู้คุมท่านหนึ่งว่าธิติสรรค์เรียกเขาว่า ‘นายนอกแดน’

 

โดยคำพูดดังกล่าว หมายถึงการพูดจาดูถูกและลดคุณค่าในตัวผู้คุม แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นความจริง ส่งผลให้ธิติสรรค์ต้องชี้แจงเหตุการณ์ต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมท่านนั้น 

 

นอกจากนี้ สุรเชษ ยังขู่จะทำร้ายร่างกายธิติสรรค์หลายครั้ง โดยธิติสรรค์คาดว่าสาเหตุที่สุรเชษไม่พอใจน่าจะมาจากที่ธิติสรรค์ ขอให้ สุรเชษ สูบบุหรี่ไกลจากพื้นที่ห้องนอนของตน เนื่องจากควันบุหรี่ส่งผลต่อ ระบบทางเดินหายใจ ของตน อย่างไรก็ตาม การขอร้องดังกล่าวดำเนินไปอย่างสุภาพโดยมีเจ้าหน้าที่ควบคุมที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นพยาน

 

หลังจากการขอร้องเรื่องบุหรี่นั้น สุรเชษ ได้กล่าวหาและหาเรื่องธิติสรรค์หลายครั้ง รวมถึงยุยงให้ผู้อื่นไม่ชอบ ผลจากคำกล่าวร้ายของสุรเชษ ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุม สิทธิพร เริ่มแสดงพฤติกรรมกลั่นแกล้งธิติสรรค์ 

 

ดังนี้:

  • ด่าว่าธิติสรรค์ด้วยถ้อยคำรุนแรง (โดยหลายครั้งจะเรียกเข้าไปในห้องส่วนตัว)
  • รื้อค้นสิ่งของส่วนตัวของธิติสรรค์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น รื้อเอกสารสำคัญทางคดีทำให้เปียกน้ำและเสียหาย ทำให้เอกสารนั้นไม่สามารถใช้การได้
  • พยายามที่จะตั้งเรื่องเอาผิดและด่าทอธิติสรรค์ อย่างรุนแรงที่เขาซ่อมพัดลมแต่ข้อเท็จจริงคือผู้คุมอีกท่านหนึ่งเป็นคนนำพัดลมมาให้ธิติสรรค์ ซ่อมเนื่องจากว่าพัดลมเสีย ธิติสรรค์จึงช่วยซ่อม

 

ยกตัวอย่างเหตุการณ์บางส่วนเพิ่มเติม ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2567

 

  1. เจ้าหน้าที่สิทธิพร เข้ายึดเอกสารทางด้านคดีของธิติสรรค์ พร้อมบอกว่าเอกสารเหล่านี้ไม่สามารถเก็บไว้ได้ ต้องนำออกไปจากเรือนจำ แต่ธิติสรรค์มีความจำเป็นต้องขึ้นศาลในวันถัดมา จึงทำให้เขาก็เกิดความกังวลเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะไม่มีข้อมูลที่จะนำไปสู้คดีเมื่อขึ้นศาล และจะทำให้แพ้คดีจึงปฏิเสธที่จะนำเอกสารออก และได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่สิทธิพรว่านักโทษมีสิทธิ์ในการเก็บรักษาเอกสารทางด้านคดีไว้กับตนเอง ภายใต้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ทำให้เจ้าหน้าที่สิทธิพร ด่าทอธิติสรรค์อย่างรุนแรง

 

  1. ธิติสรรค์มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคหัวใจเต้นผิดปกติซึ่งเป็นมานานก่อนที่จะเข้ารับโทษในเรือนจำโดยธิติสรรค์จำเป็นต้องทานยาเป็นประจำทุกวันโดยอาการดังกล่าวได้มีใบรับรองแพทย์ระบุให้หลีกเลี่ยงอากาศร้อนและให้ใช้พัดลมในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบซึ่งจะมีผลต่อสุขภาพของธิติสรรค์อย่างร้ายแรง แต่เจ้าหน้าที่สิทธิพรกลับปฏิเสธใบรับรองแพทย์และยื่นเงื่อนไขให้ธิติสรรค์ ต้องขอใบรับรองใหม่และเข้ายึดพัดลมที่ได้ขออนุญาตนำเข้ามาอย่างถูกต้องออกไป

 

  1. ธิติสรรค์เกิดอุบัติเหตุที่ดวงตาขณะรับโทษอยู่ในเรือนจำทำให้การมองเห็นของเขาไม่ปกติ ดวงตาข้างซ้ายขยายถึง 5 มิลลิเมตร ดวงตาไม่สามารถรับแสงแดดได้ทำให้ต้องใส่แว่นตาดำตลอดเวลาที่ออกแสงแดดเพื่อป้องกันและฟื้นฟูความเสี่ยงที่จะตาบอด

 

แต่แม้จะมีใบรับรองแพทย์ยืนยันถึงความจำเป็นในการใช้งานแว่นตาดำและทางแพทย์ได้กำชับมาว่าห้ามขยับตัวเยอะ เช่น เดินเร็ว วิ่ง หรือออกกำลังกาย รวมทั้งต้องใส่แว่นตาดำไว้ตลอด แต่เจ้าหน้าที่สิทธิพรได้พยายามยึดแว่นตาธิติสรรค์ แม้จะมีใบรับรองแพทย์ยืนยันถึงความจำเป็นในการใช้งานแต่เจ้าหน้าที่สิทธิพรก็ยืนยันว่าจะยึด เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของธิติสรรค์ เป็นอย่างมากเนื่องจากสุขภาพที่ไม่ดีอยู่แล้วและเกรงกลัวว่าตาบอดไม่สามารถมองเห็นได้กลายเป็นบุคคลพิการตลอดชีวิต

 

ทำให้ธิติสรรค์มีอาการทรุดหนัก ตัวสั่น ไม่สามารถพูดได้ โรคหัวใจกำเริบจนต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลในทันทีและจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สุขภาพของธิติสรรค์ถดถอยและแย่เป็นอย่างมาก หมอที่โรงพยาบาลได้ปรับยารักษาโรคหัวใจของธิติสรรค์ ให้แรงมากขึ้นเพื่อที่จะรักษาอาการให้คงที่ไม่กำเริบ การกินยาที่แรงมากขึ้นส่งผลต่อร่างกายของธิติสรรค์โดยตรง

 

2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2568

 

วันพุธที่ 8 มกราคม 2568:

ธิติสรรค์ พบว่า สุรเชษ กำลังเล่นเกมและดูสื่ออนาจารในพื้นที่ ซึ่ง ผิดระเบียบของเรือนจำ ธิติสรรค์จึงพูดกับสุรเชษว่าการกระทำเช่นนี้มีความผิดแต่กลับถูกเจ้าหน้าที่สิทธิพรที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นด่าทอและใช้ความรุนแรง ต่อยและผลักจนเกิดรอยช้ำขนาดใหญ่บนร่างกาย

 

เจ้าหน้าที่สิทธิพรยังได้กล่าวหาว่าธิติสรรค์ พูดจาด่าทอพ่อแม่ของตนและท้าต่อยอย่างไรก็ตาม เมื่อผู้บังคับบัญชาแดนเรียกสอบสวนจากพยานในที่เกิดเหตุพบว่าคำกล่าวหาดังกล่าวของสิทธิพรไม่เป็นความจริงจึงสั่งให้ทั้งสองฝ่ายยุติเรื่องราว

 

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2568:

เจ้าหน้าที่ สิทธิพรยังคงดำเนินการกลั่นแกล้งธิติสรรค์ โดยตั้งข้อกล่าวหาว่าธิติสรรค์ ว่ามีพฤติกรรมกระด้างกระเดื่องและให้นักโทษในความดูแลของตนเป็นพยานยืนยันจากนั้นธิติสรรค์ถูกย้ายไปยังแดนห้าและถูกขังในซอยในวันเดียวกัน

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิทธิพร

 

จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงบางส่วนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับธิติสรรค์ ซึ่งถูกกระทำและกลั่นแกล้งจากสิทธิพรอย่างต่อเนื่องโดยการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจและสุขภาพของธิติสรรค์

 

นอกจากนี้ข้าพเจ้าและครอบครัวของธิติสรรค์ ยังได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่าสิทธิพรมีพฤติกรรมกลั่นแกล้งและกดดันนักโทษคนอื่นในความดูแลด้วยลักษณะดังนี้อีกหลายท่าน

 

ข้อร้องเรียน

 

  1. ขอให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่สิทธิพรอย่างละเอียดและดำเนินการทางวินัยหากพบว่าเจ้าหน้าที่รายนี้กระทำผิดจริง

 

  1. ขอให้มีการนำตัวธิติสรรค์ ออกจากการถูกคุมขังพิเศษ (ขังซอย) ที่แดนห้าโดยเร็วที่สุดเนื่องจากการตั้งเรื่องกล่าวโทษดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้งและไม่มีมูลความผิดที่สมเหตุสมผล

 

  1. ขอให้แยกสิทธิพรออกจากพื้นที่ใกล้ชิดธิติสรรค์ เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำร้ายร่างกาย การกลั่นแกล้ง หรือการกระทำใดที่ส่งผลต่อความปลอดภัยทางร่างกายของธิติสรรค์

 

  1. ขอให้ธิติสรรค์ ได้รับการคุมขังในพื้นที่ที่ปลอดภัยโดยต้องเป็นแดนที่ไม่เสี่ยงต่ออันตรายจากการกลั่นแกล้งรังแกหรือการทำร้ายร่างกายจากเจ้าหน้าที่อย่างสิทธิพรหรือนักโทษรายอื่น เพื่อให้ธิติสรรค์สามารถดำรงชีวิตในเรือนจำได้อย่างปลอดภัย

 

ข้าพเจ้าและครอบครัวของธิติสรรค์รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพฤติกรรมการกลั่นแกล้งและการทำร้ายร่างกายของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวทำให้ธิติสรรค์มีอาการทรุดหนักทั้งร่างกายและจิตใจ

 

ข้าพเจ้าเกรงว่าหากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยเร็วอาจนำไปสู่ความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าขอความเมตตาและความกรุณาจากท่านโปรดพิจารณาเรื่องนี้โดยเร่งด่วนเพื่อปกป้องสิทธิและความปลอดภัยของผู้ถูกรังแกและเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในกระบวนการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ”

 

นอกจากการบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของทางมารดาธิติสรรค์แล้ว ทางครอบครัวได้แนบเอกสารผลชันสูตรจำนวน 2 แผ่นที่แพทย์ระบุไว้ว่าธิติสรรค์ได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกจากของไม่มีคม จนมีบาดแผลลักษณะเป็นวงเรียงต่อบริเวณใต้ราวนมด้านซ้าย พร้อมแนบเอกสารการแจ้งความต่อสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น วันที่ 14 มกราคม 2568 มากับคำร้องด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารคำร้องได้มีการใส่รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนที่พนักงานสอบสวนจาก สน.ประชาชื่น จะเข้าไปสอบปากคำธิติสรรค์ ในเรือนจำแต่ในเอกสารของตำรวจไม่ได้ระบุชื่อญาติหรือทนายความร่วมด้วย แต่ทางตำรวจได้นัดหมายให้ญาติและทนายเข้าพร้อมกับพนักงานสอบสวนแล้ว แต่ในท้ายที่สุดทางเรือนจำปฏิเสธให้ญาติและทนายความเข้าไปในสังเกตการณ์การสอบปากคำ

 

ในประเด็นนี้นำมาซึ่งการบอกเล่าของมารดาธิติสรรค์เพิ่มเติมว่า ทางเรือนจำได้เรียกครอบครัวหนึ่งคนเข้าไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวในเรื่องการดำเนินคดีต่อสิทธิพรในข้อหาทำร้ายร่างกาย โดยบอกกับครอบครัวว่าจะย้ายธิติสรรค์ไปเรือนจำอื่น และจะไม่รับประกันความปลอดภัยใดๆ ที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งบอกว่าญาติไม่มีสิทธิ์แจ้งความดำเนินคดีใดๆ กับผู้คุมโดยไม่แจ้งให้ผู้บัญชาการเรือนจำทราบ ซึ่งถือว่าญาติมีความผิด

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising