จับศรีสุวรรณคาบ้าน เรียก 3 ล้านแลกไม่ร้องเรียนอธิบดีกรมการข้าว
กลายเป็นข่าวใหญ่ วันนี้ (26 มกราคม) เมื่อ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พล.ต.ต. ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ นำกำลังเจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นำหมายค้นเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุดในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาขบวนการนักเคลื่อนไหวหรือนักร้องเรียนข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบ
สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจาก ณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูก ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หรือนักเคลื่อนไหว พร้อมด้วย ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี พร้อม พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรครวมไทยสร้างชาติ
หลังร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยระบุว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต
อธิบดีกรมการข้าวมั่นใจไม่ผิด แอบถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม ณัฏฐกิตติ์มั่นใจว่าที่ผ่านมาตนบริหารงานหรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 3 รายกล่าวอ้างเพื่อข่มขู่ จึงมองว่าการถูกกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง
แต่ด้วยความที่เกรงว่าหากถูกร้องเรียนโจมตีบ่อยครั้งเข้าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมจ่ายเงินให้ครั้งแรกก่อนเป็นจำนวน 1.4 แสนบาท ก่อนแอบถ่ายคลิปวิดีโอตอนส่งมอบเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จากนั้นจึงนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวน ก่อนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับศรีสุวรรณและพิมณัฏฐา
ในข้อความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พร้อมออกหมายจับยศวริศ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนวางแผนให้ผู้เสียหายทำการนัดหมายส่งมอบเงินงวดต่อมาอีก 5 แสนบาทไปส่งมอบให้ในวันนี้เพื่อซ้อนแผนเข้าจับกุม
ศรีสุวรรณไหวตัวทัน โยนซองเงินทิ้ง แต่ไม่รอด
เป้าหมายสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตรวจค้นจุดแรกเป็นบ้านพัก ตั้งอยู่ที่ตำบลลาดสวาย อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านพักของศรีสุวรรณ หลังจากผู้เสียหายส่งคนนำเงิน 5 แสนบาทไปส่งมอบให้กับภรรยาของศรีสุวรรณ กระทั่งเมื่อเห็นว่ามีการหยิบซองเงินเข้าไปภายในบ้านจริง ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม
มีรายงานว่าระหว่างนั้นศรีสุวรรณเกิดไหวตัวพยายามวิ่งนำซองเงินไปโยนทิ้งบริเวณข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามไปตรวจยึดกลับคืนมาได้ ก่อนแสดงหมายจับให้เจ้าตัวรับทราบและทำการควบคุมตัวพร้อมพามาตรวจค้นภายในบ้านพัก เพื่อค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมทางคดี นอกจากนี้ยังได้เตรียมเชิญตัวภรรยาของศรีสุวรรณไปทำการสอบปากคำเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วยหรือไม่
ในวันที่นักร้องโดนร้องกลับ THE STANDARD ชวนทำความรู้จักกับนักร้องมือวางอันดับ 1 ที่ชื่อว่า ศรีสุวรรณ จรรยา บทสัมภาษณ์และข้อมูลในรายงานชิ้นนี้เรียบเรียงจากที่ศรีสุวรรณเคยให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ในปี 2565
ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นใคร?
ศรีสุวรรณเรียกตัวเองว่าเป็น NGO นักเคลื่อนไหวผู้ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม ใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ตนเรียนมาฟ้องร้องให้กับคดีมวลชน มีผลกระทบกับชาวบ้าน ไม่รับคดีส่วนบุคคล ทั้งชีวิตร้องมาแล้วกว่า 3,000-4,000 คดี ไม่คิดค่าดำเนินคดีกับชาวบ้าน แต่ก็มักได้รับสินน้ำใจตอบแทนมาเสมอ มีคดีใหญ่ๆ เป็นที่ประจักษ์อย่างเช่น คดีโรงงานที่มาบตาพุดรุกพื้นที่ชุมชน คดีระงับโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทของโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลประยุทธ์ เป็นต้น
ร้องได้ไม่เลือกหน้า ไม่เว้นแต่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
ศรีสุวรรณย้ำว่าตนเองไม่ได้เข้าข้างฝักฝ่ายใด ฟ้องได้หมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ตลอดจนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญก็ยื่นตรวจสอบมาหมดแล้ว โดยในช่วงที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ศรีสุวรรณเผยว่าตนถูกทหารเข้ามาเยี่ยมพบถึง 20-30 ครั้ง และโดนเรียกไปปรับทัศนคติอีกหลายครั้ง ตนก็ไปตามหมายเรียก ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด
ไม่กลัวศัตรู? ฟ้องเพื่อยกประเด็นถกถาม ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินถูก-ผิด
แม้ศรีสุวรรณจะฟ้องร้องใครต่อใครไปทั่ว แต่ก็ไม่หวั่นว่าจะมีศัตรูตามไล่ล่า ตนเปิดเผยว่าในยุคที่สื่อสารสนเทศครอบคลุมเช่นนี้ ตนถูกสะกดรอยตามได้ง่ายมาก แต่ตนก็หลบหลีกหนีมาได้โดยตลอด พร้อมย้ำว่าสิ่งที่ตนเองยื่นฟ้องร้องสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนหลักกฎหมาย มองตามหลักข้อเท็จจริง ไม่คิดร้ายกลั่นแกล้งใคร ตนเองไม่ใช่ผู้ตัดสินคดี หวังเป็นเพียงผู้ตรวจตราความผิดปกติในสังคม (Watchdog) ให้สังคมได้ตระหนักรู้ ส่วนจะตัดสินผิด-ถูกอย่างไรก็สุดแท้แต่สังคมจะมอง
“สุดท้ายแล้ว ถึงเราจะถูกเกลียดชัง เราก็ยืนอยู่บนหลักกฎหมาย บนหลักข้อเท็จจริง กฎหมายไม่กลั่นแกล้งใครเป็นการเฉพาะ สิ่งที่เราร้องเรียนคือเป็นข้อสงสัยที่เราคิดว่ามันน่าจะขัดต่อกฎหมาย เราไม่ใช่ผู้ตัดสิน ไม่ใช่ผู้พิพากษา ผมไม่ใช่คนมีอำนาจวินิจฉัย ผมก็นำเรื่องที่ผมสงสัยแคลงใจนี้ร้องให้หน่วยงานที่เขามีหน้าที่ในการวินิจฉัยพิพากษาทำหน้าที่ ส่วนเขาจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขาเอง ถ้าเขาตอบมาได้เคลียร์ก็จบ บางเรื่องไม่จบก็ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป”
ไม่อยากให้สังคมมีศรีสุวรรณแค่คนเดียว อยากให้มีสักหมื่นแสนคน
ศรีสุวรรณระบุว่าตนเองไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐ หากใครสงสัยในตัวของเขาก็สามารถตั้งคำถามได้เฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป แต่ตนมั่นใจดีแล้วว่าสิ่งที่ทำทุกวันนี้ไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน สำคัญคือเราได้ทำให้เกิดความกระจ่างชัดขึ้นในสังคม ให้ได้มีคนเข้ามาชี้แจง และหวังว่าประชาชนจะออกมากล้าพูด กล้าร้อง เพราะสิทธิในการตรวจสอบรัฐไม่ได้อยู่แค่ศรีสุวรรณคนเดียว แต่อยู่ในตัวทุกคน
“ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะเข้ามาร้องเรียน เข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐโดยตลอด ไม่ได้เขียนว่าทำได้เฉพาะนายศรีสุวรรณคนเดียวเท่านั้น ทุกคนทำได้หมด แล้วผมอยากให้มีคนที่เป็นเหมือนศรีสุวรรณ คนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่หมื่นแสนทำหน้าที่เหล่านี้ มันจะทำให้ระบบคอร์รัปชันที่พยายามจะหาช่องทางหรือโอกาสในการที่จะคิดไม่ดีไม่ร้ายต่อประเทศชาติ มันถูกจับตาเหมือนมีตาสับปะรดคอยตรวจสอบมากขึ้น ผมว่ามันจะทำให้ประเทศเราได้รับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้น”
ไม่มีใครเป็นแบบอย่างนอกจากพ่อของตัวเอง
ศรีสุวรรณกล่าวว่าพ่อคือไอดอลเพียงคนเดียวของเขา พร้อมกับเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า แม้พ่อจะจบแค่ ป.4 แต่ท่านเป็นนักอ่านตัวยง มักจะอธิบายเนื้อหายากๆ ในหนังสือ และวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองบนหน้าหนังสือพิมพ์ให้ฟังเป็นประจำ
“ช่วงที่มีคดีความกับคนเยอะๆ เวลาพ่อผมไปศาลก็มักจะให้ผมติดสอยห้อยตามไปด้วย ผมก็เรียนรู้และซึมซับมา เพราะฉะนั้นไอดอลของผมจึงเป็นคุณพ่อ”
นอกจากร้องเรียนแล้ว ก็ชอบร้องเพลง
ศรีสุวรรณกล่าวว่าตนชอบร้องเพลง ในอดีตเป็นนักร้องเพลงสากลประจำวงดนตรีของมหาวิทยาลัย ปัจจุบันชอบร้องเพลงลูกทุ่ง โดยทุกเวทีไม่ว่าจะงานแต่งหรืองานบวช ตนจะต้องออกไปร้องเพลง สาวงามเมืองพิจิตร ของ สดใส รุ่งโพธิ์ทอง
ฝากถึงนักการเมืองให้ทำตามกฎหมาย
“กฎหมายว่าอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น ไม่ใช่ว่าท่านจะทะเลาะกันเฉพาะคู่ต่อสู้ทางการเมือง อย่างน้อยต้องมีบุคคลที่สามคือประชาชนอย่างผมคอยมอนิเตอร์พวกท่าน เหมือนสุนัขเฝ้าบ้าน (Watchdog) ถ้าท่านทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่เป็นไปตามครรลองของกฎหมาย ผมซัดหมด ไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรอก ถ้ามีอะไรที่ผมดำเนินการได้ก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีทันที”
ศรีสุวรรณย้ำถึงข้าราชการว่า ต้องทำตามบทบาทหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด อย่าไหลตามคำพูดของนักการเมือง เพราะเจ้านายที่ต้องเคารพมากที่สุดคือประชาชน
“ผมทนทุกข์กับชาวบ้านมาเยอะ มีชาวบ้านมาร้องเรียนผมว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐ-นักการเมืองค่อนข้างจะเยอะ เราจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชาวบ้านได้รับความเป็นธรรม นี่คือบทบาทที่ผมพยายามทำมาโดยตลอด แต่ผมไม่ใช่เทวดาที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จเสร็จสิ้นได้ บางเรื่องที่ผมทำมันก็ล้มเหลวหรือไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง แต่ผมไม่ท้อและทำต่อไป นี่คือสิ่งที่อยากฝากถึงนักการเมือง ไม่ว่าคุณจะรวยล้นฟ้า ใช้อำนาจล้นเมือง ศรีสุวรรณก็ไม่กลัวถูกตรวจสอบ”
หนึ่งในสิ่งที่ศรีสุวรรณอยากได้ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
“ผมไม่อยากให้มี 22 พฤษภาคม 2557 เกิดขึ้นอีกแล้วในสังคมไทย ความขัดแย้งในสังคมเป็นเรื่องปกติ แต่ผมไม่อยากให้มีอำนาจพิเศษหรืออำนาจนอกกฎหมายมาทำให้ระบบสังคมเกิดปัญหา ไม่อยากให้มีการรัฐประหาร ไม่อยากให้มีการปฏิวัติ ขอให้ความขัดแย้งอยู่บนพื้นฐานการใช้สิทธิใช้เสียงของพี่น้องประชาชน”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ตำรวจซ้อนแผนจับกุม ‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ หลังข่มขู่รีดเงินอธิบดีกรมการข้าว 3 ล้าน แลกไม่ยื่นเรื่องร้องเรียน
- ตร. รวบ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ คาทำเนียบ เจ้าตัวชี้แจงแค่ประสานให้ ‘ศรีสุวรรณ’ ปมข่มขู่เรียกรับเงิน