ถึงแม้ แฟรงก์ แลมพาร์ด จะตัดสินใจเลือกกลยุทธ์การเล่นที่เด็ดขาดด้วยการ ‘ไม่แพ้ไว้ก่อน’ แต่ที่สุดแล้วกำแพงสีน้ำเงินของนักเตะเอฟเวอร์ตันก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งลิเวอร์พูล คู่ปรับร่วมเมืองได้อีกต่อไป
2 ประตูจากการโหม่งของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ ดิวอค โอริกิ ส่งลิเวอร์พูลกลับไปตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 แต้ม และรักษาความหวังในถ้วยสำคัญที่สุดของภารกิจ ‘Quadruple’ อย่างพรีเมียร์ลีกเอาไว้ และในทางกลับกัน 2 ประตูนี้ก็ส่งเอฟเวอร์ตันให้อยู่ในกลุ่มโซนตกชั้นในอันดับที่ 18
นี่คือครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 ที่เหล่า Toffeemen ต้องอยู่ในพื้นที่สีแดง แต่ในสถานการณ์แล้วนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่พวกเขาต้องเสี่ยงต่อการหนีตกชั้นในช่วงท้ายฤดูกาลนับตั้งแต่ฤดูกาล 1998/99 เลยทีเดียว
ย้อนกลับไปในฤดูกาลนั้นเอฟเวอร์ตันอาการเริ่มโคม่าตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นมา โดยนับจากที่แพ้ต่อเวสต์แฮม ยูไนเต็ดในวันที่ 19 ธันวาคม จนถึงความพ่ายแพ้ต่อเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ในวันที่ 5 เมษายน พวกเขาเก็บชัยชนะได้แค่ 2 จาก 15 นัด
จุดเปลี่ยนที่ทำให้สามารถอยู่รอดได้เกิดขึ้นเมื่อเข้าเดือนเมษายน เมื่อทีมของ วอลเตอร์ สมิธ – ซึ่งเปลี่ยนจากการกวาดแชมป์กับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสกอตแลนด์ ตกลงรับงานต่อจาก โฮเวิร์ด เคนดัลล์ อดีตกุนซือผู้นำเอฟเวอร์ตันยิ่งใหญ่ในยุค 80 และพยายามเปลี่ยนแปลงทีมในหลายจุดรวมถึงการขาย ดันแคน เฟอร์กูสัน หัวหอกขวัญใจหมายเลขหนึ่งของแฟนๆ ให้นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดกลางฤดูกาล – สามารถกวาดชัยชนะได้ 3 นัดรวดเหนือโคเวนทรี ซิตี้, นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และชาร์ลตัน แอธเลติก
ส่วนในฤดูกาลนี้สถานการณ์ของเอฟเวอร์ตันดูเหมือนอาจจะเลวร้ายกว่า โดยความปราชัยต่อลิเวอร์พูลเป็นการแพ้เกมที่ 19 จาก 32 เกมในฤดูกาลนี้ ซึ่งพวกเขาไม่เคยแพ้เยอะขนาดนี้มาก่อนนับตั้งแต่ที่ลีกสูงสุดของอังกฤษแข่งขันกัน 38 นัดทั้งฤดูกาล
ในเกมเยือนพวกเขาแพ้ 11 จาก 12 นัด รวมถึง 7 นัดหลังสุดที่แพ้ทุกนัด ซึ่งเป็นผลงานในเกมเยือนที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่การแพ้เกมเยือน 8 นัดติดต่อกันในช่วงระหว่างเดือนเมษายนจนถึงตุลาคม 1994
สำหรับทีมที่เจ้าของสโมสรอย่าง ฟาร์ฮัด โมชิริ ลงทุนอย่างมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทีมที่วาดฝันว่าจะสามารถกลับมายิ่งใหญ่ไม่ให้คู่ปรับที่อยู่ฟากของสวนสแตนลีย์ข่มได้ ทีมที่เริ่มพอจะมีความหวังบ้างในฤดูกาลที่แล้วภายใต้การนำของ คาร์โล อันเชล็อตติ – การที่ต้องมาลุ้นหนีตกชั้นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาคิดมาก่อนเลย
ฤดูกาล 2021/22 สำหรับเอฟเวอร์ตันคือฝันร้ายตั้งแต่เริ่ม เมื่อสโมสรกลัดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกจากการเลือก ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ของอันเชล็อตติ ด้วยความเชื่อว่ากุนซือชาวสเปนที่มีประสบการณ์พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปมาแล้ว จะสามารถสานต่องานของอดีตกุนซือชาวอิตาเลียนที่ทิ้งสโมสรกลางทางเพื่อไปรับงานกับเรอัล มาดริดอีกครั้ง
ปัญหาคือเบนิเตซไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนๆ และสุดท้ายความสัมพันธ์ที่เป็นพิษนั้นก็ไปไม่รอด จากการเริ่มต้นฤดูกาลอย่างสวยหรูด้วยการเก็บชัยชนะ 3 นัดรวด ปัญหาอาการบาดเจ็บและปัญหาเรื่องแท็กติกการเล่นก็ค่อยๆ บ่อนทำลายเอฟเวอร์ตันมาเรื่อยๆ (โดยที่ไม่พูดถึงกรณีข่าวที่ กิลฟี ซิกูร์ดส์สัน ถูกดำเนินคดีล่วงละเมิดทางเพศที่ทำให้ต้องหายไปจากทีมอย่างถาวรตั้งแต่ช่วงแรกของฤดูกาล)
สุดท้ายก็ต้องมีการปลดเบนิเตซจากตำแหน่งกลางฤดูกาล ก่อนที่โมชิริ – ซึ่งเข้ามาลงทุนกับสโมสรตั้งแต่ปี 2016 และใช้เงินไปมากกว่า 500 ล้านปอนด์ในการเสริมทีม – จะเลือก แฟรงก์ แลมพาร์ด เข้ามาทำงานแทนด้วยหวังว่าจะสามารถกอบกู้ทีมได้ (ส่วนหนึ่งคือแฟนบอลต่อต้าน วิตอร์ เปเรยรา โค้ชชาวโปรตุเกสที่มีข่าวก่อน)
ผลงานของอดีตกุนซือเชลซีในถิ่นกูดิสันพาร์ก คุมทีม 12 นัดแพ้ 8 ชนะ 3 เสมอ 1
คู่แข่งของพวกเขาตอนนี้คือเบิร์นลีย์ ทีมที่หนีตกชั้นด้วยการเดิมพันปลด ฌอน ไดช์ กุนซือที่อยู่กับทีมมา 9 ปีครึ่งออกจากตำแหน่ง และกลายเป็นจุดเปลี่ยนเมื่อทีมชนะ 2 เสมอ 1 โดยที่ทุกอย่างเริ่มดูดีขึ้น
ความได้เปรียบเดียวของเอฟเวอร์ตันคือการที่พวกเขาลงเล่นน้อยกว่า 1 นัด ซึ่งหากเก็บ 3 คะแนนในเกมตกค้างได้ก็จะแซงเบิร์นลีย์ในการลุ้นหนีตาย แต่ปัญหาคือโปรแกรมที่เหลือของพวกเขานั้นถือว่าหนักเลยทีเดียว
มองจากโปรแกรมของเอฟเวอร์ตันแล้วจะเห็นได้ว่าต้องเจอ 2 ทีมจาก Top 6 ทั้งเชลซีและอาร์เซนอล โดยเฉพาะทีมหลังที่ลุ้นไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอยู่ ขณะที่วัตฟอร์ดก็ต้องลุ้นหนีการตกชั้นเหมือนกัน ส่วนเลสเตอร์ ซิตี้และคริสตัล พาเลซนั้นเป็นทีมที่พูดได้ว่าดีกว่าพวกเขาในเวลานี้ แม้แต่เบรนท์ฟอร์ดเองก็ดีกว่าพวกเขามากในภาพรวม โดยเฉพาะหลังได้ คริสเตียน อีริกเซน มาเป็นจุดเปลี่ยน
ไม่มีเกมไหนเลยที่เอฟเวอร์ตันจะดูได้เปรียบอย่างชัดเจน
แง่งามที่พอมองเห็นจากเกมที่แอนฟิลด์คือ พวกเขามีคนที่พอจะเป็นความหวังได้อย่าง แอนโธนี กอร์ดอน ไอ้หนูดาวรุ่งทอฟฟี่รสมะนาวโซดาที่จี๊ดจ๊าดอย่างยิ่งและจี๊ดมาสักระยะแล้ว ตลอด 90 นาทีที่แอนฟิลด์นี่คือความรู้สึกดีๆ อย่างเดียวที่เอฟเวอร์โตเนียนพอสัมผัสได้
กอร์ดอนมีความเร็วที่เหลือเชื่อ ซึ่งแม้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะไม่ใช่แบ็กขวาที่เล่นเกมรับได้ดีนัก แต่ก็ไม่ใช่ปีกทุกทีมที่จะ ‘เผา’ จนเกรียมขนาดนี้ และยังมีความพยายามจะเรียกจุดโทษถึง 2 ครั้งด้วย โดยเฉพาะครั้งที่ 2 ที่หลุดไปก่อนโดน โจเอล มาติป เบียดล้ม ซึ่งเป็นลูกที่แลมพาร์ดโวยหลังเกมว่า “ถ้าเป็นซาลาห์คงได้จุดโทษแล้ว”
และอีกอย่างคือทีมสปิริตที่ช่วยกันเล่นได้ดี ทำเอาลิเวอร์พูลไปไม่เป็นเหมือนกัน
เพียงแต่คำถามคือ พวกเขาจะสู้ได้แบบนี้ทุกนัดหรือไม่? และพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้ไหมในเกมอื่น? เพราะการลงไปแพ็กเกมรับอย่างเดียวจนทำให้ทีมมีโอกาสครองบอลแค่ 17 เปอร์เซ็นต์ (น้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติโดย Opta) ผ่านบอลรวมกันทั้งทีมไม่ถึง 100 ครั้ง และมีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ครั้งเดียว มันยังดูอดเป็นห่วงไม่ได้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามตอนนี้คือนาทีชีวิตสำหรับเอฟเวอร์ตัน ซึ่งไม่ว่าแลมพาร์ดจะเลือกแผนไหน สูตรไหน จะเล่นอย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือพวกเขาต้องเก็บแต้มให้ได้ ซึ่งหากยึดตามทฤษฎี ‘40 แต้มไม่ตกชั้น’ พวกเขาขาดอีก 8 แต้มจาก 6 นัด
ไม่เช่นนั้นเราอาจไม่ได้เห็นเกมเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บีอีกในฤดูกาลหน้า
โปรแกรมนัดที่เหลือของเอฟเวอร์ตัน
เชลซี (เหย้า 1 พฤษภาคม)
เลสเตอร์ ซิตี้ (เยือน 8 พฤษภาคม)
วัตฟอร์ด (เยือน 12 พฤษภาคม)
เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า 15 พฤษภาคม)
คริสตัล พาเลซ (เหย้า 20 พฤษภาคม)
อาร์เซนอล (เยือน 22 พฤษภาคม)
โปรแกรมนัดที่เหลือของเบิร์นลีย์
วัตฟอร์ด (เยือน 30 เมษายน)
แอสตัน วิลลา (เหย้า 7 พฤษภาคม)
สเปอร์ส (เยือน 15 พฤษภาคม)
แอสตัน วิลลา (เยือน 20 พฤษภาคม)
นิวคาสเซิล (เหย้า 22 พฤษภาคม)
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2022/apr/24/frank-lampard-says-everton-denied-a-clear-penalty-against-liverpool
- https://www.theguardian.com/football/blog/2022/apr/24/everton-execute-cynical-anfield-plan-perfectly-but-still-comfortably-lose
- https://www.football365.com/news/hoping-everton-relegation-frank-lampard-elitism-john-nicholson
- https://www.bbc.com/sport/football/61210641