คืนนี้ – หนึ่งชั่วโมงก่อนเที่ยงคืน – แฟนฟุตบอลอังกฤษจะได้ต้อนรับการกลับมาของเกมลูกหนังที่หลายคนเริ่มคิดถึงอีกครั้งหลังหายไปจากสุดสัปดาห์ได้เกือบ 3 เดือน กับศึกฟุตบอลเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ซึ่งเป็นรายการ ‘เปิดม่าน’ สำหรับการแข่งขันในฤดูกาลใหม่ที่จะเริ่มในสัปดาห์หน้า
ความพิเศษของการแข่งขันในปีนี้คือการที่จะเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่เกมจะจัดที่สนามอื่นที่ไม่ใช่เวมบลีย์ หลังจากที่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อไปจัดการแข่งกันที่สนามวิลลา พาร์ก ของทีมแอสตัน วิลลา ในเมืองเบอร์มิงแฮม เนื่องจากเป็นช่วงของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนพอดี ซึ่งในปีนี้สนามเวมบลีย์ติดภารกิจเป็นนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลหญิง ยูโร 2022 ที่จะลงสนามในคืนนี้ระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติเยอรมนี
อย่างไรก็ดีเรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องใหม่หรือแปลกอะไร เพราะเดิมนั้นรายการชิงถ้วยการกุศลซึ่งเริ่มแข่งมายาวนานตั้งแต่ปี 1908 หรือ 114 ปีที่แล้วนั้น จะจัดการแข่งขันกันที่สนามเป็นกลางเสมอ ซึ่งเดิมก็ไม่ได้นำแชมป์ลีกมาเจอกับแชมป์เอฟเอคัพเสมอไป โดยมีทั้งแชมป์ดิวิชัน 1 เจอแชมป์ทางตอนใต้บ้าง ทีมรวมดาราสมัครเล่นเจอทีมรวมดาราอาชีพบ้าง
จนกระทั่งเริ่มมีการนำแชมป์ลีกมาเจอกับแชมป์เอฟเอคัพครั้งแรกในปี 1921 ก่อนที่จะยึดรูปแบบนี้เป็นหลัก (แม้จะสลับด้วยรูปแบบอื่นๆ บ้างตามความสะดวก) จนกระทั่งมาเริ่มเป็นรูปแบบอย่างเป็นทางการอย่างที่เห็นในทุกวันนี้เมื่อปี 1974 โดย เท็ด โครเกอร์ เลขานุการสมาคมฟุตบอล (เอฟเอ) ในขณะนั้นได้กำหนดให้แชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดพบกับแชมป์เอฟเอคัพ (หรือรองแชมป์ลีกหากแชมป์ลีกและแชมป์เอฟเอคัพคือทีมเดียวกัน)
สำหรับสังเวียนที่จะมีการลงแข่งขันเพื่อชิงโล่การกุศลที่เป็นหนึ่งในโทรฟีที่สวยงามที่สุดของวงการฟุตบอลประจำปีนี้จะจัดขึ้นที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม สนามเหย้าของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ผูกพันแน่นแฟ้นกับคนไทย โดยจะเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ทีม ‘จิ้งจอก’ ได้จัดการแข่งขันรายการกุศลนี้หลังเคยจัดครั้งแรกและครั้งเดียวในปี 1971
แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่าคือ 2 ทีมที่จะลงชิงชัยกันเป็น 2 ทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษในยุคปัจจุบัน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับลิเวอร์พูล ในเกมที่ว่ากันว่าน่าจะทำให้เราพอเห็นเค้าลางของการชิงชัยในศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ 2022/23 เลยทีเดียว
ดังนั้นถึงจะเป็นเกมการกุศล และถูกมองว่าเป็นเกมอุ่นเครื่องขนานใหญ่ แต่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมายในเกมนี้
แมนฯ ซิตี้ที่มีเครื่องจักรสังหาร
ถึงแม้จะไม่ได้มีข่าวปรากฏบนหน้าสื่อตลอดเวลา แต่ในช่วงปิดฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ มีความเปลี่ยนแปลงภายในทีมพอสมควร
กาเบรียล เชซุส, ราฮีม สเตอร์ลิง คือสองสตาร์ในแดนหน้าที่ถูกปล่อยตัวออกไปให้กับอาร์เซนอลและเชลซีตามลำดับ ซึ่งแม้ในระยะหลังทั้งสองอาจจะไม่ได้เป็นแกนหลัก แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาคือนักเตะที่พอจะฝากความหวังได้อยู่พอสมควร
แต่การปล่อยทั้งคู่ออกไปนั้นเป็นเพราะพวกเขาได้กองหน้าระดับสุดยอดของโลกอย่าง เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ มาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัวในการย้ายทีมแค่ราว 52 ล้านปอนด์เท่านั้น ไม่นับ ฮูเลียน อัลวาเรซ กองหน้าดาวรุ่งชาวอาร์เจนตินาที่จะเป็นอนาคตของทีมอีกคน
แน่นอนว่าการมาของฮาลันด์เป็นการเสริมทัพที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด เพราะตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาแมนฯ ซิตี้เล่นโดยใช้ระบบการเล่นแบบไม่มีศูนย์หน้าอาชีพมาตลอด โดยจุดเริ่มต้นคือฤดูกาล 2020/21 ซึ่ง เซร์คิโอ อเกวโร เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวนในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา พยายามแก้ไขปัญหาด้วยการนำนักเตะหลายรายสลับขึ้นไปยืนในตำแหน่งดังกล่าว และผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าพอใจเพราะพวกเขากลับมาป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัยติด
ก่อนจะได้ดาวยิงโคตรพระกาฬอย่างฮาลันด์มาซิตี้เคยเกือบได้ตัว แฮร์รี เคน มาจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แต่ทีมจากลอนดอนตั้งกำแพงราคาไว้สูงกว่าที่เคยคุยกัน ทำให้สุดท้ายการเจรจาต้องล้มไป เพียงแต่ในที่สุดกวาร์ดิโอลาก็ได้ศูนย์หน้าแท้ๆ และเป็นกองหน้าที่น่าสะพรึงกลัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลกมาร่วมทีม
เพราะฮาลันด์นั้นทั้งรูปร่างสูงใหญ่ แต่มีความเร็วที่เหลือเชื่อ ทั้งยังมีการจบสกอร์ที่หนักแน่น ยิงได้ทุกรูปแบบ และทำให้น่าสนใจอย่างยิ่งว่าเมื่อมาอยู่ในทีมที่มีการสร้างสรรค์เกมดีที่สุดอย่างซิตี้แล้วจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร
เดอ บรอยน์ เปิด ฮาลันด์จบสกอร์ – แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
และนี่คือไฮไลต์ที่เราคาดหวังได้ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์คืนนี้สำหรับฝั่งแชมป์เก่า – ไม่นับรายของ คาลวิน ฟิลลิปส์ มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษที่ย้ายมาเป็นกำลังเสริมในแดนกลางทดแทนการขาดหายของแฟร์นันดินโญ
ลิเวอร์พูลที่เริ่มการถ่ายเลือด
อีกฟากหนึ่งลิเวอร์พูลก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเช่นกัน และช่วยไม่ได้ที่จะมีการเปรียบเทียบกันระหว่าง ฮาลันด์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ ศูนย์หน้าที่ลิเวอร์พูลจ่ายเงินค่าตัวแพงกว่า (แต่ค่าเหนื่อยถูกกว่า) ที่อาจจะจ่ายถึง 100 ล้านยูโรเลยทีเดียว
นูนเญซ คือกองหน้าที่ลิเวอร์พูลเร่งเครื่องเจรจาคว้าตัวมาร่วมทีมในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่เริ่มมีข่าวว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับสำคัญให้ความสนใจ และทีมกำลังจะเสีย ซาดิโอ มาเน กองหน้าที่เป็นเสาหลักในแนวรุกของทีมตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
การขาดหายของมาเน ถือว่าส่งผลกระทบมากเพราะดาวยิงชาวเซเนกัลไม่เพียงเป็นกองหน้าสารพัดประโยชน์ แต่ยังฝากความหวังได้ ทุ่มเทเกินร้อยเสมอ และที่สำคัญคือเป็นกองหน้าที่ถูกปรับมาเพื่อเล่นในระบบของคล็อปป์
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทดแทนได้ง่าย (และนั่นทำให้ลิเวอร์พูลจะไม่ยอมเสีย โรแบร์โต เฟอร์มิโน ไปอีกคนหลังมีข่าวว่ายูเวนตุสให้ความสนใจ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนูนเญซที่มีสไตล์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ดาวยิงชาวอุรุกวัยมีความคล้ายกับฮาลันด์ตรงที่เป็นกองหน้ารูปร่างสูงใหญ่ มีความเร็วจัดจ้าน และจบสกอร์ได้ดี แต่ก็เป็นกองหน้าในแบบที่ลิเวอร์พูลไม่เคยใช้งานมาก่อน เพราะแม้กระทั่ง ดิวอค โอริกิ ที่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนกันก็เล่นในอีกรูปแบบที่แตกต่างไป
จุดเด่นที่มองเห็นในการเล่นของนูนเญซ ซึ่งยิงได้แค่นัดเดียวจากเกมอุ่นเครื่อง 4 นัด (แต่ก็ยิงนัดเดียว 4 ประตูกับ แอร์เบ ไลป์ซิก) คือการฉีกหาตำแหน่งในกรอบเขตโทษที่ทำได้ดี และ เจอร์เกน คล็อปป์ เองก็มองเห็นจุดนี้ที่อาจจะต้องปรับการเล่นของทีมเพื่อช่วยสนับสนุนให้มากขึ้นกว่าเดิม
เพียงแต่ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์ อาจจะต้องเริ่มจากการเป็นตัวสำรองไปก่อน
นอกจากนูนเญซแล้วอีกรายที่น่าจับตามองคือ ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ตัวรุกดาวรุ่งที่ชิงตัวมาจากฟูแลม ซึ่งสร้างความประทับใจได้มากในช่วงพรีซีซันที่ผ่านมา และอาจจะมีบทบาทในฐานะกำลังเสริมที่น่าสนใจ ด้วยเทคนิคการเล่น จินตนาการ และความกล้าหาญ
อีกรายที่เดอะ ค็อปเอาใจช่วยคือ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ดาวรุ่งวัย 19 ปีที่กลับมาเรียกสภาพความฟิตได้สมบูรณ์อีกครั้ง หลังข้อเท้าหักเมื่อต้นฤดูกาลที่แล้วจนหายไปหลายเดือนและไม่สามารถยึดตำแหน่งในทีมได้
แต่คนที่ลืมไม่ได้เด็ดขาดคือ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่นอกจากสภาพร่างกายจะดูพร้อมสมบูรณ์ยังดูมีความสุขมากกว่าฤดูกาลที่แล้วหลังตกลงสัญญาใหม่กับทีมได้
ปัญหาที่ลิเวอร์พูลเจอคืออาการบาดเจ็บของนักเตะสำคัญบางรายอย่าง อลิสสัน เบ็คเกอร์ และ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูมือ 1 และ 2 ที่เจ็บทั้งคู่ ทำให้อาเดรียนมือ 3 จะได้ลงตัวจริง, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่เจ็บยาวอีกครั้ง และ ดีโอโก โชตา กองหน้าที่เจ็บตลอดช่วงพรีซีซัน
- เกมเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ เริ่มเวลา 23.00 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง beIN SPORTS
- ในการแข่งขันสามารถใส่ชื่อตัวสำรองได้ 9 คน และเปลี่ยนตัวสำรองได้ถึง 6 คนด้วยกัน
- ถ้าเสมอในเวลา 90 นาทีจะใช้การยิงจุดโทษตัดสิน