สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยดูจะร้อนระอุไม่ต่างกับสภาพอากาศในห้วงเวลานี้ ภายหลังรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ปรากฏ
เป็นที่รู้กันว่า ปรับคณะรัฐมนตรีในทุกยุคสมัย มีเป้าประสงค์หลักให้การทำงานของรัฐบาลง่ายขึ้น แต่ถนนสายหลักของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน 1/1 กลับมีรอยแยกโผล่ขึ้นมา
เหตุจากรัฐมนตรีใหม่หลายคนล้วนเป็นคนใกล้ตัวนายกรัฐมนตรีที่เดินเข้าออกตึกไทยคู่ฟ้าเช้า-เย็น เมื่อขยับมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรี เครดิตทางการเมืองกลับสู้รัฐมนตรีหน้าเก่าไม่ได้
อีกประเด็นสำคัญคือคำถามต่ออำนาจและบารมีของเศรษฐา การปรับคณะรัฐมนตรีที่มีทั้งการปรับออกและสลับตำแหน่ง จึงทำให้เกิดกระแสลมรุนแรง บาดลึกจนเกิดรอยแผลเข้าไปในบางคนของพรรคเพื่อไทย
ภาพ: ทำเนียบรัฐบาล
รอยร้าวกลุ่ม ‘ผิดหวัง’
ปานปรีย์ พหิทธานุกร
พ้นจากรองนายกรัฐมนตรี พร้อมร่อนจดหมายลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี
แม้ในจดหมายจะบอกว่าไม่เกี่ยวกับผลงาน ขณะที่ปานปรีย์ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อโยงถึงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่หลุดไปว่า ทำให้กระทบต่อการทำงาน ซึ่งในแง่กฎหมายระบุชัดว่า ให้มีรัฐมนตรีเพียง 35 คน แต่ในส่วนของตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีไม่ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าให้มีจำนวนเท่าใด ดังนั้นการปรับปานปรีย์ออกจากตำแหน่งย่อมต้องมีที่มาที่ไป
การทำหน้าที่แม้ได้รับอำนาจเต็มในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา แต่เมื่อเกิดกรณีต้องสั่งการข้าม หน่วยงาน ในบางส่วนย่อมอาจช่วยให้การทำงานลดอุปสรรคอยู่บ้าง หากสวมหมวกรองนายกฯ ไปพร้อมกัน
ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตำแหน่งเดียวก็คงไม่เพียงพอที่จะสั่งงานในส่วนอื่นได้
นอกจากนี้ตามรายงานข่าว มีปัญหาการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนระหว่างนายกรัฐมนตรีและปานปรีย์ในการปรับตำแหน่ง แม้นายกรัฐมนตรีจะบอกว่าได้มีการแจ้งกับเจ้าตัว และออกมาขอโทษแล้วก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าประเด็นนี้สร้างรอยร้าวเกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน
“หากผมทำอะไรให้ไม่พอใจ ผมก็ขอโทษท่านไปแล้ว มันเป็นเรื่องของความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนี้ผมรับผิดชอบและก็จะพยายามดำเนินการต่อไปโดยเอาจุดมุ่งหมายของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง” นายกฯ กล่าว
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว
พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพียง 7 เดือนตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ระยะเวลาที่รวดเร็วนี้ทำให้หลายคนออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เสร็จศึกฆ่าชลน่าน’ หรือไม่
เหตุจาก นพ.ชลน่านต้องทนรับต่อกระแสการวิพากษ์วิจารณ์หลังเคยประกาศกร้าวไว้ว่า จะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยหากไม่ชนะการเลือกตั้ง เป็นตำบลกระสุนตกยื้อทนกระแสมากระทั่งจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจของกลุ่มคนเสื้อแดง และคนเพื่อไทยที่ช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้ง
นพ.ชลน่านยังพูดในการลงพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า มีผลงานที่เห็นเกรดเอบวก แต่โดนตำหนิว่าทำงานไม่สามารถควบคุมข้าราชการได้
นอกจากนี้ยังพบว่า มีการโพสต์ข้อความจาก เพจหมอชลน่านFcไม่มีดราม่า ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบุคคลใกล้ตัว หรือทีมงานหรือไม่ ตอกย้ำความไม่พอใจที่ถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรีชัดเจน ว่า
ชลน่านพลีชีพโดดเดี่ยวโดนกระทืบ
ผู้คนหนี้เข้าซอกหลืบหลบมุมไหน
พอผ่านพ้นผู้คนตะเกียกตะกาย
เหยียบย่ำแย่งเป็นใหญ่ไร้ยางอาย
ถึงแม้ผลงานของ นพ.ชลน่านจะออกมาเป็นที่ประจักษ์ในหลายเรื่อง ทั้งงาน Quick Win 100 วันของกระทรวงฯ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ก็ยังหลุดจากตำแหน่ง โดย ‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ออกแถลงการณ์ขอบคุณพร้อมระบุถึงเบื้องลึกเบื้องหลังว่า
- ขอบคุณที่วางรากฐาน Reset งานใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมดหลังยุคอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ได้ไม่ได้ขยับอะไร นอกจากนโยบายกัญชา
- อุปสรรคมีมาก โดยเฉพาะข้าราชการที่คุมไม่อยู่ ระดับบิ๊กไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
- วางยาวางกับดักให้รัฐมนตรีเป็นคู่ขัดแย้งกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
- การโยกย้ายลูกจ้างให้เป็นส่วนหนึ่งของ รพ.สต. ช่วยให้ท้องถิ่นมีสถานพยาบาล
ทั้งนี้ หากจับสังเกตให้ดี บรรดารองนายกรัฐมนตรีในชุดรัฐบาลเศรษฐาแรกเริ่ม ล้วนมาจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคทั้งสิ้น ยกเว้นเพียงคนเดียวที่หลุดโผไปคือ นพ.ชลน่าน อาการเจ็บช้ำแล้วเจ็บช้ำอีกคงไม่เกินจริง
ภาพ: ฐานิส สุดโต
มาดามแจ๋น-พวงเพ็ชร ชุนละเอียด
พ้นจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หากมองในแง่ของภูมิภาค ‘มาดามแจ๋น’ คือหัวหน้าทีมเพื่อไทยกรุงเทพฯ แม้เลือกตั้งที่ผ่านมาจะได้ สส. มาเพียงเสียงเดียว แต่ฉับพลันที่ปรับ ครม. ตัวแทนของคนกรุงเทพฯ ก็ยุบหายไปทันควัน
ภาพ: พงศ์มนัส ทาศิริ
ไชยา พรหมา
พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไชยา เป็น สส. หนองบัวลำภู หลายสมัย และเคยออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ย้ำชัดว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องเป็นของเพื่อไทย เพราะเสียงที่ทำให้พรรคได้มาถึง 141 ที่นั่งในสภามาจากภาคอีสาน พรรคควรมีนโยบายหรือขับเคลื่อนตอบแทนคนภาคอีสานที่ส่วนใหญ่คือเกษตรกร แต่ในความเป็นจริงกลับถูกเจ้ากระทรวงกลบผลงาน จนไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ได้เลย
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล
พ้นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา มานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปรียบเหมือนการลดเกรดสถานที่ทำงาน ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะกระทบกับการทำงานของทีมหวังศุภกิจโกศลหรือไม่ เพราะตำแหน่งนี้มีบารมีของพ่อค้ำยันอยู่ด้วย
ภาพ: ฐานิส สุดโต
ผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา?
ถึงเศรษฐาจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่าการปรับคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องธรรมดาที่ย่อมมีคนพอใจและไม่พอใจจากการสลับตำแหน่ง และเป็นหน้าที่ที่จะต้องอธิบายคนที่ไม่พอใจเหล่านั้น
ส่วนรัฐมนตรีที่มีบทบาทสำคัญของพรรคในช่วงของการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล ทั้ง นพ.ชลน่าน, ไชยา และพวงเพ็ชร ก็เป็นบุคคลที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในช่วงของการเลือกตั้ง โดยเฉพาะ นพ.ชลน่านช่วยติวเวลาจะลงพื้นที่ รวมถึงวิธีการปราศรัย เข้าใจว่าคงมีความผิดหวัง แต่ต้องมีการพูดคุยกัน หวังว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้
แต่การทำพรรคการเมืองจุดมุ่งหมายหลักคือ ชนะการเลือกตั้ง จัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ การเอาชนะพรรคก้าวไกลที่กระแสท่วมท้นในเวลานี้ได้ จำเป็นต้องมีแรงหนุนจากคนในพรรคเพื่อไทย จากบ้านใหญ่ในแต่ละพื้นที่ รวมถึง สส. เขต
‘เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล’ สำนวนนี้คงไม่เกินจริง เพื่อไทยอาจต้องกลับมาช่วยกันดูแลและทบทวนให้ดี เพราะขุนพลเหล่านี้ล้วนมีชีวิตจิตใจ ความผิดหวังซ้ำซากย่อมไม่เกิดผลดี อาจกระทบไปยังการดูแลพื้นที่และเรื่องอื่นๆ ตามมาได้
สายตรงที่ ‘สมหวัง’?
ปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่เพียงใช้โควตาจำนวนรัฐมนตรีเต็มพิกัด 35 ตำแหน่ง แต่หากลองเจาะลึกลงไปตามเก้าอี้รัฐมนตรีหน้าใหม่ หลายตำแหน่งล้วนมาจากโควตาสายตรง ทั้งจากนายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ ชินวัตร ทั้งจากนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย รวมถึงสายสัมพันธ์ที่ดีกับ ยิ่งลักษณ์ และ แพทองธาร ชินวัตร
ภาวะหวานอมขมกลืนจึงเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นสำหรับนายกรัฐมนตรีเศรษฐา เพราะอำนาจในการเลือกรัฐมนตรีเป็นของนายกรัฐมนตรี แต่การจัดตั้งในทางการเมืองย่อมรู้กันอยู่ว่าล้วนแต่มีผู้ร่วมตัดสินใจในการปรับตำแหน่งจากหลายวง
เมื่อหลายสายมารวมกัน ก่อให้การจัดสรรไม่ลงตัว ทำให้กลายเป็นการจัดคณะรัฐมนตรีที่หลายคนอาจมองว่าไม่เป็นไปตามยุทธศาสตร์ หรือเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่พอใจเกิดแรงเสียดทานอยู่บ้าง เนื่องจากบางคนไม่เคยมีบทบาทในพรรคมาก่อน แต่กลับได้เก้าอี้
- จักรพงษ์ แสงมณี เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- จิราพร สินธุไพร เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ไม่ใช่ไม่เคยมี แต่การแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 3 ตำแหน่ง อาจทำให้ถูกมองว่าเกินกว่างานกำกับดูแล จนกลายเป็นความสูญเปล่าทางทรัพยากร หน่วยงาน เช่น กรมประชาสัมพันธ์, อสมท, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, สำนักงบประมาณ, สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ฯลฯ จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีรัฐมนตรีถึง 3 คนเข้ามา เพราะงานทุกชิ้นมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับ กระทรวงการคลัง ปรับใหม่แล้วมีรัฐมนตรีถึง 4 ตำแหน่ง
- พิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
- เผ่าภูมิ โรจนสกุล เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
- จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
- กฤษฎา จีนะวิจารณะ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
ขณะที่การสลับตำแหน่งบางเก้าอี้รัฐมนตรี ก็ยังเรียกได้ว่ามาจากแรงค้ำยัน หรือสายสัมพันธ์อันเหนียวแน่นที่มีมาแต่เดิม
- เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดยเฉพาะลูกชาย ร.ท. ปรีชาพล พงษ์พานิช ที่ต้องถูกเว้นวรรคทางการเมืองจากคดียุบพรรคไทยรักษาชาติ
ท้ายที่สุด การเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นของ 2 ส. จากกลุ่มสามมิตร ผู้ไม่ถนัดเป็นฝ่ายค้าน เรียกได้ว่านี่คือแรงกระเพื่อมหนึ่งของพรรคเพื่อไทยอย่างแท้จริง เพราะกลุ่มสามมิตรในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก่อนจะย้ายกลับมากรุเก่า สังกัดพรรคเพื่อไทยอีกครั้งในการเลือกตั้ง 2566
- สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
- สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
การกลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่ อาจสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่ม สส. ที่เคียงบ่าเคียงไหล่พรรคมาอย่างยาวนาน แถมเก้าอี้รัฐมนตรียังมาประทับให้สมกับฉายารัฐมนตรีทุกสมัยอีกด้วย
ภาพ: ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ ไม่ว่าธงในการจัดคณะรัฐมนตรีจะมาจากสายไหน แต่ความสามารถในการทำงานให้กับประชาชนคือคำตอบที่สำคัญ
เลือกตั้งสมัยหน้าแม้ไม่อาจฟันธงได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งตามที่เศรษฐาเคยประกาศในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ที่พรรคเพื่อไทยหรือไม่
แต่สุดท้ายการปรับคณะรัฐมนตรีนี้จะต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่า ปรับแล้วจะมีผลงานอะไรเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชน สมการนี้กำลังรอคอยคำตอบในอีกไม่นาน