ชายผู้ที่ฟ้าประทานทุกอย่างและมองเห็นอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่ในวันข้างหน้า
แต่สิ่งที่ฟ้าไม่ได้บอกคือ ฟ้าให้เวลาเขาเพียงแค่นี้
ข่าวการจากไปของ เคลวิน คิปตัม สุดยอดนักวิ่งชาวเคนยา เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นข่าวที่สะเทือนหัวใจ ไม่ใช่เพียงเฉพาะในชุมชนของเหล่านักวิ่งเท่านั้น แต่สั่นสะเทือนถึงความรู้สึกของผู้คนทั่วโลก
เพราะเจ้าของสถิติโลกในการวิ่งมาราธอนคนล่าสุดไม่ได้เป็นแค่นักวิ่งธรรมดา หากแต่เป็น ‘ความหวัง’ ที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติด้วย
เรื่องราวของ เคลวิน คิปตัม ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่เหมือนเรื่องแต่งจากปลายปากกาของใครสักคน
นักวิ่งที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่เคยลงแข่งขันวิ่งมาราธอนมาก่อนเลยในชีวิต จู่ๆ ก็กลายเป็นเจ้าของสถิตินักวิ่งหน้าใหม่ที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลกด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง กับอีก 2 นาที ในรายการวาเลนเซียมาราธอน เมื่อปี 2022
สถิติดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิติอันดับ 4 ของโลก และทำให้โลกของนักวิ่งมาราธอนต้องหยุดและหันมามองนักวิ่งโนเนมคนนี้
เขาคือใครกันนะ?
เคลวิน คิปตัม เชอรูอิโยต (Kelvin Kiptum Cheruiyot) เป็นนักวิ่งระยะไกลชาวเคนยาที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยลงแข่งขันวิ่งมาราธอนมาก่อน ไม่เคยมีประวัติอยู่ในการแข่งขันใดทั้งนั้น เรียกได้ว่าเป็นเพชรในโคลนตมของจริง
แต่ก็เป็นเพราะแสงที่เปล่งประกายในตัวเองที่ทำให้มีคนค้นพบเขาจนได้
เคลวิน คิปตัม เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1999 ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่าเชปซาโม ซึ่งอยู่ที่เมืองเชปโคริโอ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,600 เมตร
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในแถบเดียวกับแคว้นเอลเกโย-มาราเกวต ซึ่งอยู่ในหุบเขา และเป็นถิ่นที่สร้างยอดมนุษย์ปอดเหล็กมามากมาย และยังถือเป็นเมกะหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเหล่านักวิ่งชาวต่างชาติที่ทั้งอยากมาและอยากไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักวิ่งด้วย
ที่แห่งนี้คือที่ที่คิปตัมเรียนรู้การวิ่ง โดยใช้เวลาว่างหลังช่วยที่บ้านเลี้ยงวัวไปวิ่งด้วยเท้าเปล่า
วิ่งไปตามหุบเขา วิ่งไปตามแนวป่า วิ่งไปตามหาฝัน
จนเขาเริ่มฝึกอย่างจริงจังเมื่อปี 2013 ในวัย 13 ปี โดยการฝึกนั้นก็ไม่ได้มีโค้ชหรือมีครูที่ไหน เขาศึกษาและฝึกฝนการวิ่งด้วยตัวเอง รวมถึงฝึกจากประสบการณ์จริงคือการลงแข่งขันด้วย
ในวัย 13 ปี คิปตัมลงแข่งประเภทฮาล์ฟมาราธอนในบ้านเกิดเป็นรายการแรก และจบด้วยอันดับที่ 10 ก่อนที่จะพยายามอีกหลายครั้งเพื่อให้ไปถึงชัยชนะ ซึ่งชัยชนะรายการแรกเกิดขึ้นในปี 2018 โดยทำเวลาได้ 62.01 นาที
หลังจากนั้นเขาเดินหน้าไปสู่เวทีในระดับนานาชาติ เริ่มจากการแข่งขันฮาล์ฟมาราธอนรายการลิสบอนฮาล์ฟมาราธอน ในเดือนมีนาคม 2019 โดยจบที่อันดับ 5 และทำเวลาได้ 59.54 นาที ซึ่งเป็น ‘PB’ หรือเวลาที่ดีที่สุดในขณะนั้น ก่อนจะตระเวนแข่งไปทั่วยุโรปในปีดังกล่าว
แววของเขาเข้าตา เกอร์เวส ฮาคิซิมานา นักวิ่งวิบากชาวรวันดา ที่ขอรับอาสาเป็นโค้ชให้ (แม้จะมีข่าวว่าทั้งคู่เป็นครู-ศิษย์กันมาตั้งแต่ปี 2013 แล้วก็ตาม)
โดยที่นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา คิปตัมถูกเจียระไนเพื่อรอวันจะแจ้งเกิดบนเวทีใหญ่ที่สุดและทรงพลังต่อโลกมากที่สุด อย่างเช่น การแข่งขันมาราธอน แต่เรื่องนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับที่สุด โดยที่เขายังคงลงแข่งในประเภทฮาล์ฟมาราธอนอยู่เรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงเวลาที่เหมาะสมที่ฮาคิซิมานาคิดว่าโลกควรจะได้รู้จักกับดาวดวงใหม่ที่สามารถจะก้าวขึ้นมาแทนที่ของ เอเลียด คิปโชเก ซึ่งกำลังเริ่มโรยราตามวัย คิปตัมจึงได้โอกาสลงแข่งขันมาราธอนรายการแรกที่เมืองวาเลนเซีย ประเทศสเปน
รายการนั้นจัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2022 และเขาก็เขย่าโลกได้จริงๆ ด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 เอาชนะนักวิ่งดาวดังที่เป็นตัวเต็งของรายการอย่าง ตามิรัต โตลา แชมป์โลกมาราธอน 2022 และดาวดังคนอื่นๆ
นอกจากนี้ยังทุบสถิติของรายการ สร้างตำนานเป็นนักวิ่งหน้าใหม่ที่ทำสถิติได้เร็วที่สุดในโลก และเวลาของเขาเป็นอันดับ 4 ในทำเนียบสถิติตลอดกาล เป็นรองแค่คิปโชเก (2.01.09 และ 2.01.39 ชั่วโมง) กับ เคเนนิซา เบเกเล (2.01.41 ชั่วโมง) เท่านั้น
หลังจากนั้นคิปตัมก็กลายเป็นนักวิ่งปริศนาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงให้แก่โลก
มาราธอนรายการที่ 2 ที่เขาลงแข่งคราวนี้เป็นรายการระดับเมเจอร์อย่าง ‘ลอนดอนมาราธอน’ ในเดือนเมษายน 2023 และคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดายทั้งๆ ที่สภาพแวดล้อมไม่ดี มีฝนตกลงมา โดยทำเวลาได้ 2.01.25 ชั่วโมง ทุบสถิติเดิมของคิปโชเกที่เคยทำไว้ 2.02.37 ชั่วโมง ได้เร็วกว่าถึงนาทีนิดๆ
แท็กติกที่เขาเลือกใช้คือ Negative Split หรือการเร่งฝีเท้าในช่วงครึ่งหลังของการแข่งให้เร็วกว่าครึ่งแรก ซึ่งเป็นแท็กติกเดียวกับที่ใช้ในการแข่งรายการที่วาเลนเซีย
ในชัยชนะครั้งนี้ คิปตัมยังเอาชนะฮีโร่ที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวเองอย่าง เจฟฟรีย์ คัมวอเรอร์ ซึ่งเป็นคนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันได้ด้วย
จากนั้นคิปตัมก็กลายเป็นมากกว่าแค่ฮีโร่ เพราะเขากลายเป็นซูเปอร์ฮีโรของโลกไปแล้ว เมื่อทำลายสถิติโลกได้ในการแข่งขันรายการชิคาโกมาราธอน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ด้วยเวลา 2.00.35 นาที
ทำลายสถิติโลกเดิมที่คิปโชเกทำไว้ในรายการเบอร์ลินมาราธอน เมื่อปี 2022 ได้ถึง 34 วินาที ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้คิดทำลายสถิติมาก่อน แต่มาเริ่มคิดเอาตอนครึ่งหลังของการวิ่งเท่านั้น
“แต่ผมรู้ว่าสักวันผมจะทำได้อยู่แล้ว”
ถึงตรงนี้โลกมีความหวังใหม่ คนที่จะรับไม้บาตองต่อจากคิปโชเกในการทำภารกิจ ‘Sub 2’ ในการแข่งขันจริงๆ ให้ได้ ซึ่งแม้ความจริงคิปโชเกยังคงเป็นความหวังสูงสุดอยู่ แต่ด้วยวัยที่มากขึ้น ส่งผลต่อผลงานของนักวิ่งเบอร์หนึ่งของโลกไม่น้อยในช่วงหลัง
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เรื่องของการวิ่งมาราธอนต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เคยเป็นเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครกล้าคิดมาก่อน แต่การที่จู่ๆ โลกก็มีนักวิ่งวัย 23 ปีที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนและเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการมาราธอนได้ในเวลาไม่ถึงปี นี่คือ ‘ปรากฏการณ์’ ที่ยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในระดับเดียวกับที่โลกเพิ่งเคยเจอกับ มูฮัมหมัด อาลี หรือ เปเล่ เลยทีเดียว
ด้วยพรสวรรค์ วัย และเวลาแล้ว คิปตัมกำลังจะเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่า (หรือเป็นไปแล้วด้วยซ้ำ) คิปโชเก
ในภาพความฝัน คิปตัมมีโอกาสจะกลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ก้าวผ่านกำแพงที่เคยถูกมองว่าไม่มีวันก้าวข้ามได้
มันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนทั้งโลกในยุคที่มองหาความหวังยากขึ้นทุกเวลานาที
การจากไปก่อนวัยอันควรทั้งของเขาและโค้ชจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จึงเป็นเรื่องที่ทั้งยากจะเชื่อและยากที่จะทำใจ
โลกได้สูญเสียความหวังและแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ คนที่ฟ้าส่งมาให้เป็นนักวิ่งในระดับ ‘ร้อยปีจะมีสักคน’
จริงอยู่ที่สักวันเราจะมีนักวิ่งดาวดวงใหม่เกิดขึ้นมา แต่สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจจะยังคงอยู่
ถ้า เคลวิน คิปตัม ยังอยู่ เขาจะทำให้เกิดปรากฏการณ์อะไรได้อีกบ้างนะ
แต่ ณ เข็มนาฬิกาเดินไป เรื่องนี้ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรแล้ว
หลับให้สบายนะพ่อนักวิ่ง ขอบคุณสำหรับประกายแสงที่สว่างจ้า แม้จะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ก็ตาม