สกลฉัฐฐ์ เชาวน์เลิศเสรี CFA นักวิเคราะห์การลงทุน SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB CIO) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ภาพรวมผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 ถึงปัจจุบัน (Year to Date: YTD) สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ยที่ระดับ 25% โดยหุ้นกลุ่มขนาดเล็กถือเป็นหุ้นกลุ่มที่ Outperform มากที่สุด ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในระดับ 31% รองลงมาคือหุ้นขนาดกลางที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 30% และตามมาด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 18%
สำหรับการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share Growth: EPS Growth) ในช่วงก่อนโควิดมีการเติบโตของ EPS Growth ที่ยังไม่แน่นอน เนื่องจากเป็นช่วงที่ประเทศอินเดียยังอยู่ในช่วงการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศที่มีการลงทุนค่อนข้างสูง แต่ปัจจุบันการลงทุนดังกล่าวเริ่มออกผลลัพธ์ในเชิงบวกต่อ EPS Growth ทำให้มีอัตราการเติบโตที่มีเสถียรภาพ ซึ่งคาดว่าในช่วงปี 2024-2026 จะมีค่าเฉลี่ยของ EPS Growth อยู่ที่ประมาณ 16% ต่อปี
คาด EPS Growth ตลาดหุ้นอินเดียโตต่อ 16% ต่อปี
เขากล่าวว่า EPS Growth ของตลาดหุ้นอินเดียจะถูกขับเคลื่อนจากปัจจัยการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ส่งผลให้ EPS Growth ของตลาดหุ้นอินเดียในช่วงระหว่างปี 2024-2026 จะมีการเติบโตที่มีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น โดยเติบโตเฉลี่ยในระดับ 16% ต่อปี
นอกจากนี้ คาดว่าเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศอินเดียจะเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจากช่วงต้นปี 2024 ถึงปัจจุบัน มีเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนในประเทศอินเดียเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ที่ประมาณ 7.6 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน ซึ่งถือว่าสูงขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดหุ้นอินเดียที่เติบโตได้ดีในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนในประเทศอินเดียเกิดความเชื่อมั่นกับตลาดหุ้นของอินเดียในระดับที่สูงมาก
นอกจากนี้ พอร์ตลงทุนของนักลงทุนอินเดียเฉลี่ยปัจจุบันถือครองหุ้นอินเดียในพอร์ตสัดส่วนต่ำเพียงระดับ 6% ของพอร์ตรวม เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น นักลงทุนสหรัฐฯ ที่ถือครองหุ้นสหรัฐฯ ในพอร์ตเฉลี่ย 22% ส่วนคนญี่ปุ่นถือครองหุ้นในสัดส่วน 18% ดังนั้นในตลาดหุ้นอินเดียจึงถือว่านักลงทุนยังมีช่องว่างในการเพิ่มหุ้นอินเดียเข้าพอร์ตลงทุน
อีกทั้งในปี 2024 ในระยะสั้นมีเงินออมภาคครัวเรือนที่เริ่มจัดสรรเงินออมไปลงทุนในหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี โดยปัจจุบันประชาชนอินเดียแบ่งเงินสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้เพื่อนำมาใช้ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เท่าของค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา
สกลฉัฐฐ์กล่าวต่อว่า หลังจากในช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นอินเดียโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีในระดับประมาณ 30% ซึ่งเมื่อพิจารณามูลค่าหุ้น หรือค่า P/E Ratio พบว่าอยู่ในระดับสูง หรือแพงสุดในรอบ 10 ปี และหากพิจารณาอัตราการเติบโตของ EPS Growth ในช่วง 2 ไตรมาสข้างหน้า พบว่าน่าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงของการปรับฐาน หรือเห็นอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลง
นักลงทุนต่างชาติชะลอซื้อหุ้นอินเดีย
นอกจากนี้ หากเปรียบเทียบมูลค่าหุ้นของตลาดหุ้นอินเดียกับตลาดหุ้นในเอเชีย ซึ่งไม่นับรวมตลาดญี่ปุ่น พบว่ามีการซื้อขายบน P/E Ratio ที่มีค่า Premium สูงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ เฉลี่ยประมาณ 40% ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนมีมุมมองที่ดีมากต่อตลาดหุ้นอินเดีย
อย่างไรก็ดี หากดูมูลค่าหุ้นของอินเดียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2024 พบว่าเป็นเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนภายในประเทศเป็นหลัก ส่วน Fund Flow ของต่างชาติยังเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียค่อนข้างน้อย โดยปีนี้มีเงินลงทุนต่างชาติเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดีย 3.6 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากปี 2023 ที่ไหลเข้ามาลงทุนทั้งปีรวมราว 2.53 หมื่นล้านดอลลาร์ สาเหตุหลักมาจากต่างชาติมองว่ามีมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างแพง
ขณะที่ในฝั่งของนักลงทุนสถาบันที่เป็นกองทุน Active Fund กำลัง Underweight การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย โดยเม็ดเงินจากกองทุนส่วนใหญ่ที่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียในปีนี้จะเป็นเม็ดเงินจากกองทุน Passive Fund หลังจาก MSCI ปรับน้ำหนักเพิ่มทุนอินเดียเพิ่ม
GDP อินเดียส่งสัญญาณโตชะลอลง
สำหรับปัจจัยพื้นฐานในระยะ 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจของอินเดียมีแนวโน้มเห็นการเติบโตที่ชะลอลง โดย GDP ช่วงไตรมาส 1/24 ของอินเดียขยายตัวในระดับ 7.8% ขณะที่ในไตรมาส 2/24 ขยายตัวในระดับ 6.7%
เนื่องจากในช่วงก่อนการเลือกตั้งของอินเดียมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง เพื่อรอดูความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง ขณะที่ในไตรมาส 3/24 คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัวได้ แต่ยังคงมีอัตราที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวในระดับ 6.1% อีกทั้งรัฐบาลกลางของอินเดียที่เป็นฟันเฟืองใหญ่ในการขับเคลื่อนของอินเดีย ยังมีนโยบายในการควบคุมการขาดดุลการคลังอย่างเข้มงวด ซึ่งจะนำไปสู่การลดการใช้จ่ายลงทุนของรัฐบาลอินเดียในอนาคต ส่งผลให้งบประมาณที่จะใช้ลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตหดตัวลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นอินเดียมีความเสี่ยงในการลงทุนที่ใหญ่ที่สุด หลังจากนักลงทุนเริ่มรับรู้ข้อมูลไปแล้วว่าราคาหุ้นอินเดียมีมูลค่าแพง ขณะที่ EPS Growth ของอินเดียอยู่ในระยะการเติบโตที่ชะลอตัวลง ดังนั้นอาจส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของตลาดหุ้นอินเดียให้ชะลอตัวลง จนกว่าจะเห็นภาพความชัดเจนของการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่ปรับดีขึ้นในอนาคต
ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ตลาดหุ้นอินเดียในระยะสั้นมองว่ามีส่วนต่างให้เข้าลงทุนได้ค่อนข้างน้อย แต่สำหรับการลงทุนระยะยาวในอินเดียยังมีโอกาสลงทุนจากภาพของเศรษฐกิจที่มีโอกาสขยายระดับเศรษฐกิจต่อปีอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าประเทศอื่นทั่วโลก
อีกทั้งยังมีแนวโน้มของชนชั้นแรงงานที่เพิ่มขึ้น และเป็นฐานการผลิตของธุรกิจใหม่ๆ ทั้งการผลิตโทรศัพท์มือถือ, ชิป รวมถึงกลุ่มธุรกิจ Digital Finance จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตของเศรษฐกิจในรอบใหม่
ขณะที่มูลค่าของตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในระดับที่แพงในระยะสั้น จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องรีบเข้าไปลงทุน แนะนำให้ใช้จังหวะช่วงราคาย่อตัวในการทยอยสะสมมากกว่า
สำหรับภาพการลงทุนระยะยาวแนะนำให้ซื้อหุ้นในดัชนี MSCI India ซึ่งหากมีมุมมองว่าตลาดหุ้นขนาดเล็กมีมูลค่าที่แพงเกินไป สามารถเปลี่ยนเป็นขนาดใหญ่ในกลุ่ม NIFTY Index แทนได้ โดยสำหรับพอร์ตการลงทุนในระยะกลางแนะนำให้มีสัดส่วนของหุ้นอินเดียในระดับประมาณ 4-6% ของพอร์ต