วันนี้ (30 พฤษภาคม) ที่อาคารรัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน สส. แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสุดฟ้องดำเนินคดี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีมาตรา 112 หากทักษิณชนะในคดีนี้ จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้กับผู้ถูกดำเนินคดีรายอื่นหรือไม่
โดยชัยธวัชระบุว่า เรื่องการต่อสู้คดีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะข้อเท็จจริงรายละเอียดและพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาในคดีไม่เหมือนกัน การพิจารณาก็อาจอยู่ในบรรยากาศทางการเมืองไม่เหมือนกัน คงจะบอกไม่ได้ว่าเป็นการสร้างบรรทัดฐานหรือไม่ แต่การได้รับการปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น สิทธิในการประกันตัว เพื่อที่จะทำให้มีสิทธิในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ รวมถึงถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ควรเป็นบรรทัดฐานทั่วไป
“หากใครที่จะไม่ได้รับการประกันตัวเป็นกรณียกเว้นที่มีเหตุจริงๆ ควรมีเหตุผลให้ชัด ส่วนผลตัดสินไม่เหมือนกันในแต่ละคดี พูดยากว่าคดีไหนจะชนะหรือแพ้ในชั้นศาล” ชัยธวัชกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะกลายเป็นคดี ‘นักโทษเทวดา’ รอบ 2 หรือไม่ ชัยธวัชกล่าวว่า เดี๋ยวรอดู ส่วนตัวเห็นด้วยที่บรรทัดฐานในกระบวนการยุติธรรมควรเหมือนกัน แต่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าต้องการให้ทักษิณถูกกระทำในคดีนี้ แต่เราอยากเห็นบรรทัดฐานที่เท่าเทียมกันในระบบกฎหมาย ระบบนิติรัฐ ที่มีความชัดเจนและแน่นอน ยึดถือสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นตัวตั้ง
ชัยธวัชยังระบุด้วยว่า ต้องจับตาดูว่าจะเป็นเกมการเมืองเพื่อดึงขั้วเก่ากลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ แต่ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมน่าเป็นห่วง ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลโดยรวมมีปัญหา จะกระทบกับสมาธิในการแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งเฉพาะหน้าและระยะยาวไปด้วย
เฉลิมชัยบอก “ประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้”
ด้าน เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคดีมาตรา 112 ของทักษิณว่า ก็ไม่มีอะไรแปลก เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ทักษิณถูกสั่งฟ้องจากอัยการสูงสุดก่อนจะเดินทางกลับเข้าประเทศไทย ซึ่งโดยธรรมเนียมปฏิบัติ ตนเองคาดการณ์ได้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าอัยการสูงสุดคนปัจจุบันจะต้องสั่งฟ้อง เพราะจะไม่พลิกคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุดคนก่อนหน้า เนื่องจากเป็นหลักกฎหมาย ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ศาลวินิจฉัย
ส่วนในสถานการณ์ตอนนี้จะประเมินได้หรือไม่ว่าอาจต้องมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่หรือจับมือขั้วใหม่ เฉลิมชัยกล่าวว่า “ประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้”
อย่างไรก็ตาม เฉลิมชัยปฏิเสธว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมจับมือกับทุกพรรค แต่ต้องเลือก พร้อมระบุว่า อย่าคิดว่าเราอยากเป็นรัฐบาลอย่างเดียว อยากฝากบอกไปถึงประชาชนและนักวิเคราะห์ข่าวทั้งหลาย ให้เลิกคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคสำรองได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในสถานการณ์ตอนนี้มีการประเมินหรือจะมีปัจจัยอะไรที่จะต้องเปลี่ยนรัฐบาลหรือจะมีการจับขั้วจับมือกันใหม่หรือไม่ เฉลิมชัยกล่าวว่า ประเทศไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ และเมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะจับมือกับทุกพรรคหรือเลือกเฉพาะพรรค เฉลิมชัยกล่าวว่า ไม่ เราก็เลือก อย่าคิดว่าเราอยากเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ไม่ใช่ ตนอยากฝากไปบอกถึงประชาชน “การเป็นพรรคการเมืองจะต้องพร้อมทั้งการเป็นรัฐบาลและเป็นพรรคฝ่ายค้าน ไม่มีพรรคไหนที่ประกาศออกมาแล้วจะต้องเป็นรัฐบาลอย่างเดียวหรือตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นฝ่ายค้านอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทย ในโลกก็ไม่มี” เฉลิมชัยกล่าว
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคประชาธิปัตย์ยังคงทำงานผนึกกันแน่นหรือไม่นั้น เฉลิมชัยกล่าวว่า วันนี้เราทำหน้าที่ฝ่ายค้านด้วยกัน แต่เรื่องของการทำงานอื่นๆ อยู่ที่อุดมการณ์