จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์ ในหัวข้อ ‘BACK TO GROWTH AS WE KNOW IT?’ ว่า KBank Private Banking และ Lombard Odier พันธมิตรทางธุรกิจไพรเวตแบงก์จากสวิตเซอร์แลนด์ ยังคงมีมุมมองบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกในอีกหลายไตรมาสและหลายปีต่อจากนี้ แม้ว่านักลงทุนยังมีความกังวลจากการที่ภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัว แต่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น (Stagflation) จาก 7 เหตุผลสนับสนุนหลัก ได้แก่
- เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับเข้าสู่แนวโน้มก่อนโควิด อัตราการเติบโตกลับสู่ระดับปกติ วัฏจักรกลับสู่สภาวะที่มั่นคงขึ้น เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่เฟสใหม่ของการฟื้นตัวที่จะเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะการฟื้นตัวอย่างเร็วและแรงย่อมตามด้วยการเติบโตในอัตราที่ชะลอเพื่อเข้าสู่ภาวะปกติ
- จุดสูงสุดของโควิดสายพันธุ์เดลตาได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยสายพันธุ์เดลตากระทบจีนและกลุ่มประเทศเกิดใหม่มากกว่า ในขณะที่สหรัฐฯ ที่มีการฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลลดลง ก็ได้รับผลกระทบในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการจ้างงานในกลุ่มท่องเที่ยวและการโรงแรม ที่ก่อนหน้านี้ที่อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนตำแหน่งต่อเดือน แต่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเหลือ 0 ตำแหน่ง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าโลกเรากำลังเดินหน้าไปยังเป้าหมายที่ถูกต้อง ด้วยการเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ต่อจากนี้
- พื้นฐานภาคธุรกิจแข็งแกร่ง กำไรสูงกว่าคาด บริษัทมีความสามารถในการลงทุน จ้างงาน ในขณะที่มีความต้องการใช้จ่ายรออยู่ กำไรของบริษัทในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ เช่นเดียวกับในยุโรปและบางประเทศในเอเชีย แน่นอนว่าการที่บริษัทมีกำไรสูงจะช่วยสนับสนุนตลาดแรงงานให้แข็งแกร่ง ค่าจ้างก็มีแนวโน้มที่ปรับสูงขึ้น นำไปสู่การบริโภคที่เพิ่มขึ้น และการที่บริษัทมีกำไรสูงก็อาจจะนำไปสู่การลงทุนที่มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ภาคการบริโภคยังได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์ที่อั้นไว้ (Pent-up Demand) โดยการจับจ่ายใช้สอยสินค้าในสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงกว่าก่อนโควิด และต่อจากนี้จะเปลี่ยนแรงขับเคลื่อนเป็นการใช้จ่ายด้านบริการแทน
- นโยบายการคลังขนานใหญ่ยังสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐฯ อาจจะใช้เวลานานกว่าจะได้รับการอนุมัติจากสภาเสร็จสิ้น แต่ด้วยมูลค่าแผนการลงทุนหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ เราจะเห็นการกระตุ้นจากภาครัฐฯ ในลักษณะเดียวกันนี้ในญี่ปุ่น ภายใต้นายกฯ คนใหม่ และยุโรป ภายใต้รัฐบาลเยอรมนีชุดใหม่หลังการเลือกตั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคาดว่าเราจะเห็นการลงทุนของรัฐบาลทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในอีกหลายไตรมาสต่อจากนี้
- ความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อผ่อนคลายลง สาเหตุที่เงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา มาจากปัจจัยชั่วคราว และเป็นผลมาจากฐานต่ำในช่วงวิกฤตปีที่แล้ว ซึ่งปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป นอกจากนี้ เงินเฟ้อก็ไม่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่อ เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร รวมถึงการกู้ยืมเงินจากภาคครัวเรือนและบริษัทเอกชนไม่ได้เร่งตัวขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพระยะยาว หนุนจากตลาดแรงงาน ค่าจ้าง และค่าเช่าที่สูงขึ้นจะค่อยๆ ปรับสูงขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ จึงจะไม่กดดันธนาคารกลางให้รีบขึ้นดอกเบี้ย
- การปรับลดการสนับสนุน จากนโยบายการเงินจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และมีความยืดหยุ่น หากตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลงหรือไม่เป็นไปตามคาด ธนาคารกลางยังมีความยืดหยุ่นในการชะลอแผนการลดการซื้อสินทรัพย์ได้ ทั้งนี้ Lombard Odier คาดว่า Fed จะเริ่มลดการซื้อสินทรัพย์ในปี 2022 และเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในปี 2023 อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยนโยบายการเงินที่จะยังไม่เข้มงวดอย่างรวดเร็วก็จะยังหนุนเศรษฐกิจต่อไปได้
- จีนมีศักยภาพด้านการเงินและการคลังเพียงพอในการใช้เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง แม้ว่าในช่วงหลังจะมีประเด็นผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande และการออกมาตรการควบคุมบริษัทเอกชนของทางการจีนที่กดดันตลาด แต่ Lombard Odier เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ (Hard Landing) เนื่องจากทางการจีนยังมีเครื่องมืออีกมากที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เพื่อที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจจีนชะลอลงแบบ ‘Soft Landing’ แทน
ด้าน ตรีพล ภูมิวสนะ Managing Director-Private Banking Business Head ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกที่กำลังเติบโตช้าลง เพื่อเข้าสู่การขยายตัวในระดับปกติ หลังจากฟื้นตัวอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ ธนาคารได้แนะนำ 7 กลยุทธ์การลงทุนสำหรับช่วงนี้ไว้ ดังนี้
- คงมุมมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นที่มีราคาถูก (Value) และหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ทาง Lombard Odier แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฏจักร และมีราคาถูก ตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวแรกๆ ซึ่งถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงดี และแนวโน้มบอนด์ยีลด์ขาขึ้น จะช่วยหนุนหุ้น Cyclical และหุ้น Value ให้ไปได้ต่อ ซึ่งหนึ่งในภูมิภาคที่จะได้ประโยชน์จากหุ้นกลุ่มนี้ คือ ยุโรป
- หุ้นยุโรปจะให้ผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืน ย้อนกลับไปในช่วงวิกฤตโควิดปีที่แล้ว หุ้นยุโรปฟื้นตัวล่าช้ากว่าภูมิภาคอื่นๆ ทั้งนี้ ยังเชื่อว่าหุ้นยุโรปจะยังปรับตัวขึ้นได้ต่อจากนี้ จาก 1. Sentiment หลังการเลือกตั้งในเยอรมนี ซึ่งจะสนับสนุนหุ้นยุโรปและค่าเงินยูโร แต่อาจมีการออกพันธบัตรเยอรมันเพิ่ม ซึ่งจะกดดันราคา ทั้งนี้ รัฐบาลผสมที่มีพรรค Greens อยู่ จะช่วยผลักดันการลงทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 2. แผนการปฏิรูปสีเขียวของยุโรป (European Green Deal) ที่จะสร้างโอกาสการลงทุนมากมาย
- ยังคงระมัดระวังในพันธบัตรรัฐบาล Lombard Odier คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเริ่มลดสินทรัพย์ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ในเดือนธันวาคมนี้จนถึงมิถุนายน 2022 เราจึงมองว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ จะปรับขึ้นสู่ระดับ 2.25% ในเดือนมิถุนายน 2022 จากระดับอ้างอิงตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ 1.69% และระดับปัจจุบันที่ 1.5%
- การลงทุนในจีนจะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่น จากประเด็นเรื่อง Evergrande หากเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดที่หนี้ที่ไม่มีหลักประกันสูญเสียเงินต้นทั้งหมดก็ตาม จากการประเมินของ Lombard Odier ภาคธนาคารจีนมีความแข็งแกร่งพอที่จะทนทานต่อการผิดนัดชำระหนี้ของ Evergrande ได้ กรณีฐาน เรามองว่ารัฐบาลจีนมีเครื่องมือเพียงพอที่จะช่วยพยุงบริษัทเพื่อไม่ให้ส่งกระทบในวงกว้าง และ Evergrande จะไม่ซ้ำรอยวิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส โดยตราสารหนี้จีนทั้งพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชนบริษัทที่มีความแข็งแกร่งเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว โดยตราสารหนี้จีนให้ผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้สหรัฐฯ ที่มีอายุเท่ากันถึง 1.5% ถือว่าสูงมากในภาวะดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
- มองสินทรัพย์นอกตลาดในการเพิ่มเติมผลตอบแทนให้สูงขึ้น แม้ว่าจะต้องแลกกับสภาพคล่องที่ต่ำ แต่ความท้าทายของสินทรัพย์ในตลาดจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว สำหรับนักลงทุนที่สามารถลงทุนได้หลายปี โดยเฉลี่ยระยะยาว หุ้นนอกตลาดสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถึง 2.7%
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้ประโยชน์จากเงินทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง และนโยบายภาครัฐ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2010 นอกจากนั้น เม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หนุนจากแผนการลงทุนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่ากว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านราคาของโครงสร้างพื้นฐานยังขึ้นมาน้อยกว่าตลาดหุ้น ทำให้เราคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นได้ในระยะข้างหน้า
- การลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นผลดีในระยะยาว จากรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ฉบับล่าสุด เลขาธิการสหประชาชาติได้ย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นปัญหาสำคัญสำหรับมนุษยชาติ และการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ปลายปีนี้ จะมีการหารือประเด็นนี้เพิ่มเติม เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าบริษัทที่สามารถปรับตัวกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจะให้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต เพราะความเสี่ยงของการไม่ปรับตัว นอกจากจะทำให้โลกร้อนขึ้นแล้ว ยังมีความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องด้วย
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP