บลจ.กสิกรไทย ระบุ ไม่มีแผนขายหุ้นให้ J.P. Morgan ขอเน้นความร่วมมือนำความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันพัฒนานำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความยั่งยืนและมั่นคงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
สุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย หรือ KAsset เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย ได้ประกาศความร่วมมือกับ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) เพื่อสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงนวัตกรรมด้านการลงทุนที่เน้นการพัฒนาขีดความสามารถในการคัดเลือกและจัดสรรสินทรัพย์ทั่วโลก เพื่อยกระดับการลงทุนของไทย พร้อมสร้างความเข้าใจเชิงลึก รวมทั้งร่วมกันทำบทวิเคราะห์ช่วยให้ผู้ลงทุนไทยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน
สำหรับแผนในการร่วมกันนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนร่วมกับ JPMAM ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาใน 2 รูปแบบ คือ
- พัฒนาปรับปรุงกองทุนประเภทสินทรัพย์ผสม (Multi Asset Fund) เดิมของบริษัทให้ดีขึ้น
- การออกกองทุน Multi Asset ใหม่ออกมา ซึ่งคาดว่าภายในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะมี
โดย Multi Asset Fund เป็นกองทุนรวมที่มีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหา หรือสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน
ทั้งนี้ จากความร่วมมือกับ JPMAM ในครั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี จะมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) กลุ่ม Multi Asset Fund เพิ่มอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบัน บลจ. กสิกรไทย มี AUM ของกลุ่ม Multi Asset Fund อยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าเป็นกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา Multi Asset Fund ที่บริษัทบริหารสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกประมาณ 4-5% ภายใต้สถานการณ์ที่ตลาดสินทรัพย์ลงทุนทั่วโลกมีความผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ติดลบ
ขณะที่กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: Thai ESG) คาดว่าในปี 2567 มีโอกาสได้รับความนิยมต่อเนื่องจากในปี 2566 ได้รับผลการตอบรับค่อนข้างดี โดย บลจ.กสิกรไทย สามารถขายหน่วยลงทุนได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท จากภาพของอุตสาหกรรมที่ขายหน่วยลงทุนได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท
มองเป้าดัชนีปีนี้ 1,500 จุด
สุรเดชยังประเมินถึงตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ให้เป้าหมาย SET Index ไว้ที่ 1,500 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ที่มีโอกาสดีกว่าปี 2566 จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่ทั้งนี้ต้องติดตามปัจจัยตลาดต่างประเทศประกอบกัน เช่น ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังมีความไม่แน่นอน
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยของไทยประเมินว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสที่เริ่มทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของไทยที่เริ่มมีแนวโน้มปรับลดลงจนไม่ใช่ปัญหาในขณะนี้ รวมถึงเป็นโอกาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นมาในระดับปัจจุบันเริ่มมีผลกระทบบ้างต่อภาคธุรกิจและประชาชน
ขณะที่ ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยให้ความสำคัญกับธุรกิจการบริหารจัดการกองทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งธนาคารมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสร้างรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้า ปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าที่มีการลงทุนในกองทุนรวมเกือบ 1 ล้านราย (ณ วันที่ 25 ธันวาคม 2566) และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ดังนั้นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KAsset และ JPMAM ตั้งแต่การบริหารจัดการไปจนถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตรงความต้องการของลูกค้าธนาคารกสิกรไทยดียิ่งขึ้น
ด้าน อดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากการร่วมมือกันระหว่าง บลจ.กสิกรไทย กับ JPMAM เป็น Strategic Partnership ในครั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มีแนวคิดการยกระดับความร่วมมือในรูปแบบที่จะให้ JPMAM มาร่วมลงทุนถือหุ้นใน บลจ.กสิกรไทย เนื่องจากต้องการเน้นการนำความสามารถและความถนัดเชี่ยวชาญที่จำเป็นของทั้ง 2 ฝ่ายมาร่วมกันพัฒนาในการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความยั่งยืนและมั่นคง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยการมี JPMAM มาเป็นพาร์ตเนอร์จะช่วยในการสร้าง Solution ให้แก่นักลงทุนที่เป็นลูกค้า
“เรายังไม่ได้มีแนวคิดถึงขั้นว่าถ้าการร่วมกันครั้งนี้เกิดดีมากๆ หรือไม่ค่อยดี แล้วขั้นต่อไปจะทำอะไร ก็คงร่วมมือกันต่อ แต่จะเป็นลักษณะไหน เปรียบเทียบเหมือนอาหารที่ปรุงออกมาแล้วไม่อร่อยก็อาจมีการปรับ Ingredients หรือปรับสูตรบ้าง คงเป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ แต่โฟกัสหลักของเราประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้ข้อมูลการลงทุนจาก Expert ทั่วโลก เพื่อนำไปใช้พิจารณาการลงทุนอย่างเหมาะสม รวมถึงเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ดีกว่าคู่แข่งด้วย”
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ของทั้ง 2 บลจ. โดย JPMAM ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการลงทุนระดับโลก มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ บลจ.กสิกรไทย เป็นผู้นำตลาดกองทุนรวมของไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการกว่า 1.49 ล้านล้านบาท ที่มีความเข้าใจเชิงลึกต่อสินทรัพย์และสถานการณ์การลงทุนในไทย โดยความร่วมมือนี้จะมุ่งเสริมศักยภาพของ บลจ.กสิกรไทย ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การให้ข้อมูลเชิงลึกที่เข้าถึงผู้ลงทุนได้ทันสถานการณ์