ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยแพร่บทความวิเคราะห์แนวโน้มหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2565 โดยระบุว่า สถานการณ์การระบาดของโควิดที่ยืดเยื้อต่อเนื่อง อาจทำให้ประชาชนรายย่อยและภาคครัวเรือนใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการก่อหนี้เพิ่มเติม เนื่องจากสถานะการทำงานและรายได้ยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้ในปี 2565 จะยังคงเห็นยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนเติบโตต่อเนื่อง แต่ก็น่าจะเป็นอัตราการเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับเศรษฐกิจมากขึ้น (ภายใต้สมมติฐานที่ความเสี่ยงจากโควิดจะถูกจำกัดวงไว้ได้อย่างทันท่วงที และกิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถประคองทิศทางการฟื้นตัวได้)
ดังนั้นจึงยังคงตัวเลขประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2565 ที่กรอบ 90-92% ต่อ GDP โดยสัดส่วนหนี้ต่อ GDP มีโอกาสขยับขึ้นเล็กน้อยจากตัวเลขคาดการณ์ในปี 2564 ที่ 90.5% อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์โควิดอย่างใกล้ชิด เนื่องจากหากใช้เวลาในการดูแล/ควบคุมมากกว่าที่คาด ก็อาจทำให้มีโอกาสที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะขยับขึ้นสูงกว่ากรอบประมาณการปี 2565 ได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานออกมาล่าสุด สะท้อนว่าแม้ครัวเรือนไทยจะยังคงก่อหนี้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีสัญญาณระมัดระวังมากขึ้นสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด โดยยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 3/2564 อยู่ที่ระดับ 14.35 ล้านล้านบาท ขยับขึ้นประมาณ 4.2%YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าการเติบโตของเงินกู้ยืมภาคครัวเรือนดังกล่าว นอกจากจะเป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับที่เติบโต 5.1%YoY ในไตรมาส 2/2564 แล้ว ระดับหนี้สินของครัวเรือนที่ขยับขึ้นนั้นยังใกล้เคียงกับการเพิ่มขึ้นของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งภาพดังกล่าวส่งผลทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในช่วงไตรมาส 3/2564 ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 89.3% เท่ากับในไตรมาสที่ 2/2564 ที่ผ่านมา
แม้หนี้สินของภาคครัวเรือนส่วนใหญ่จะยังคงเป็นหนี้บ้าน แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า ลักษณะการก่อหนี้ของครัวเรือนในไตรมาส 3/2564 มีส่วนที่แตกต่างไปจากช่วงไตรมาสก่อนๆ ตรงที่มีสัญญาณของการก่อหนี้เพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่อง และ/หรือรองรับรายจ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น สอดคล้องกับการเร่งตัวขึ้นของพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบการในฝั่งนอนแบงก์
โดยประเมินว่าการแพร่ระบาดของโควิดระลอกที่สาม ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาในไตรมาสที่ 3/2564 นั้นน่าจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังสถานะทางการเงินของครัวเรือนหลายกลุ่มมากขึ้น เพราะยิ่งโควิดยืดเยื้อ สถานการณ์รายได้ยังฝืดเคือง ครัวเรือนก็อาจต้องทยอยนำสภาพคล่องเงินออมที่เคยสะสมไว้ก่อนหน้านี้มาใช้ หรือในกลุ่มที่มีฐานะทางการเงินตึงตัวเปราะบางมาก ก็อาจจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อเสริมสภาพคล่องในระยะสั้นรองรับรายจ่ายด้านการอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ หากดูในรายละเอียดของหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสที่ 3/2564 จะพบว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า (Quarter on Quarter: QoQ) ประมาณ 6.71 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นผลมาจากการขยับขึ้นของ
- หนี้เพื่อที่อยู่อาศัย (เพิ่มขึ้น 5.24 หมื่นล้านบาท QoQ)
- หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล (เพิ่มขึ้น 4.40 หมื่นล้านบาท QoQ)
- หนี้เพื่อการประกอบอาชีพ (เพิ่มขึ้น 2.72 หมื่นล้านบาท QoQ)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ภาพดังกล่าวสะท้อนลักษณะและวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ในไตรมาสที่ 3/2564 ที่มีความแตกต่างไปจากช่วงไตรมาสที่ 1/2564 และไตรมาสที่ 2/2564 ซึ่งในช่วงเวลานั้น สาเหตุอันดับที่สองของหนี้สินในภาคครัวเรือนที่ขยับขึ้นจะเป็นการก่อหนี้ไปเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพมากกว่าการเป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งน่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคทั่วไปมากกว่า
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP