ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคหลัง ภาพยนตร์กัมพูชาเริ่มเป็นที่พูดถึงและได้รับความสนใจจากผู้ชมมากขึ้น เช่น Diamond Island (2016) ของ Davy Chou ที่ว่าด้วยการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวกับประเทศกัมพูชาด้วยสีสันฉูดฉาดน่าค้นหา แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความหม่นหมองของระบบชนชั้นทางสังคม จนได้รับเลือกให้เข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2016
ล่าสุดภาพยนตร์กัมพูชาได้กลับมาอีกครั้งกับ Karmalink (2021) ผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ Jake Wachtel ผู้กำกับชาวอเมริกันที่เริ่มต้นเส้นทางชีวิตในวงการภาพยนตร์ด้วยการกำกับสารคดีสั้นให้กับองค์กรอิสระ ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะย้ายมาอยู่ที่กัมพูชาเพื่อสอนวิธีการผลิตภาพยนตร์ให้กับเด็กๆ และพนมเปญก็กลายเป็นบ้านของ Jake ไปโดยปริยายในขณะที่กำลังพัฒนาภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ ที่สำคัญคือ นักแสดงและทีมงานบางส่วนยังเคยเป็นลูกศิษย์ที่เขาพร่ำสอนมาอีกด้วย
นอกจากนี้ Karmalink ยังได้ Christopher Larsen มือเขียนบทจาก The Long Walk บ่มีวันจาก มาร่วมงานด้วย ซึ่งมีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ เขาได้เขียนบทภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเป็นไอเดียของผู้กำกับทั้งสองคน
โดย Larsen เล่าว่า “ในช่วงแรกผมพยายามรีเสิร์ชข้อมูลด้วยการเข้าไปคุยกับพระในวัดและนักประสาทวิทยา พวกเราพยายามจับวิทยาศาสตร์มาผูกโยงกับหลักศาสนา ซึ่งหลังจากผ่านไปหลายดราฟต์ ในที่สุดก็ออกมาเป็น Karmalink” นั่นคือเหตุผลว่าทำไม Karmalink ถึงให้ความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับ The Long Walk บ่มีวันจาก ทั้งในแง่ของกลิ่นอายและองค์ประกอบทางภาพยนตร์
Karmalink ว่าด้วยเรื่องราวของ Leng Heng (Leng Heng Prak) เด็กชายอายุ 13 ปีที่อาศัยอยู่ในชุมชนแรงงานใกล้ทางรถไฟ โดยเขาอาศัยอยู่กับพี่สาวและแม่ (Sveng Socheata) พร้อมกับคุณยาย (Savern Oum) ที่มักจะต้องใส่หูฟังไฮเทคของ Dr. Sophia (Cindy Bishop) นักประสาทวิทยาที่กำลังศึกษาค้นคว้าเรื่องการสูญเสียความทรงจำในตัวผู้คน
แต่อีกด้าน ชุมชนของเขาก็กำลังเผชิญกับวิกฤตการไล่เลี่ยที่ เนื่องจากทางเมืองต้องการเอามาพัฒนาสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุนี้แม่ของ Leng Heng ที่เป็นผู้นำกลุ่มต่อต้านจึงได้ออกมาประท้วงการเอารัดเอาเปรียบที่เกิดขึ้น ทว่าความกังวลของผู้เป็นลูกชายนั้นกลับไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่เป็นการทำความเข้าใจความฝันบางอย่างที่อาจสัมพันธ์กับอดีตของเขาในชาติปางก่อน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่มักจะจดจำได้จากความทรงจำในฝันก็คือ พระพุทธรูปทองคำที่ถูกขโมยไปและฝังไว้โดยโจรคนหนึ่งเมื่อร้อยปีก่อน
Leng Heng จึงได้ชักชวนเพื่อนและวางแผนที่จะออกตามหาพระพุทธรูปองค์นี้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ การหาเบาะแสในความฝันและนำมันกลับคืนมาเพื่อเงิน แต่แล้วเมื่อ Leng Heng เข้าใกล้กับความฝันเหล่านั้นมากเท่าไร เขาก็ดูเหมือนจะไม่สามารถจับต้นชนปลายอะไรได้เลย ทำให้ต้องไปขอความช่วยเหลือจาก Srey Leak (Srey Leak Chhith) เด็กสาวที่หาเลี้ยงชีพด้วยการขายเศษเหล็กและบุหรี่ตามสโมสรตอนกลางคืน
การได้ Srey Leak เข้ามาร่วมทีมทำให้แผนของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เช่นเดียวกับความจริงที่กำลังก่อร่างในความฝันของ Leng Heng อย่างช้าๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นได้เชื่อมโยงไปถึง ดร.วัฒนะ โสวรรณ์ (ปู-สหจักร บุญธนกิจ) นักประสาทวิทยาอัจฉริยะ ผู้ซึ่งหลบหนีจากบ้านเกิดเมืองนอนระหว่างการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ในปี 1970 และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเด็กชายนั้นจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่สำคัญซุกซ่อนเอาไว้
ณ จุดนี้เองที่ทำให้ Karmalink เริ่มมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น จากการตามล่าสมบัติที่อยู่ในความฝันกลายมาเป็นการตามหาความจริงเบื้องหลังความฝันนั้นแทน แม้ในช่วงแรกจะมีการพูดถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเมืองกับเขตชุมชน แต่ประเด็นที่ว่าก็เบาบางจนหลุดจากกรอบของภาพยนตร์ไปในช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง แต่ส่วนสำคัญที่เป็นตัวจุดชนวนให้พวกเขาต้องออกมาเดินทางตามหาพระพุทธรูปนั้นยังคงอยู่ นั่นคือ ‘ความจน’ เพราะจะเห็นได้ว่า ตัวละครทุกตัวนั้นอาจไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความอยากที่เหมือนกันเสียทีเดียว
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขากำลังตกที่นั่งลำบากเนื่องจากขัดสนทางการเงินที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น ฉะนั้น การตามหาสมบัติที่หายสาบสูญไปและอาจไม่มีอยู่จริง จึงเปรียบได้กับการฝากผีฝากไข้ไว้กับความว่างเปล่าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้ผลลัพธ์แบบไหน กระนั้นทุกคนก็ยังเชื่อว่า ถ้าสิ่งนั้นมีจริงก็น่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาได้ในทางใดทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ความจนจึงเป็นเหมือนตัวร้ายที่แผ่ซ่านกลิ่นอายตลบอบอวลตลอดทั้งเรื่อง เพื่อขับเคลื่อนให้การกระทำของตัวละครสอดรับกับความฝันที่ยังคงเป็นปริศนาใหญ่ของภาพยนตร์
และเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงจุดที่ความฝันหรือนิมิตในอดีตชาติเริ่มถูกเฉลยจากคำบอกเล่าของตัวละคร ภาพยนตร์ก็เริ่มเผยให้เห็นถึงความเป็นไซไฟวิทยาศาสตร์ เมื่อความฝันที่ว่ากลายเป็นความทรงจำที่ถูกปลูกฝังโดยนักประสาทวิทยาที่มีความข้องเกี่ยวกับ Leng Heng อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป้าประสงค์ของเขาคือ การศึกษาอดีตชาติของตัวเองเพื่อสังเคราะห์ระบบประมวลผลการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และแน่นอนว่ามันกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ตัวเอกไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ทว่าสิ่งที่พลิกผันตามมาช่างน่าฉงนยิ่งกว่า เมื่อความจริงที่ภาพยนตร์นำเสนอให้ผู้ชมได้เห็นทำให้แนวคิดเรื่องการตามหาความจริงของความฝันนั้นเริ่มจางหายไปจากโสตประสาท และถูกแทนที่ด้วยหลักธรรมทางศาสนาที่ผสมผสานไปกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งนั้นเชื่อมโยงกันด้วยประสบการณ์ที่เจ็บปวด
ทั้งนี้ ภาพยนตร์ก็ไม่ได้เรียกร้องว่าผู้ชมจะต้องเข้าใจหลักการของศาสนาพุทธอย่างถ่องแท้เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งเดียวที่ตั้งอยู่บนหลักการของศาสนามาอย่างช้านาน และทุกคนรับรู้อยู่แล้วเป็นทุนเดิม คือเรื่องของกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจถ่ายทอดให้ใครได้ และไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติคนที่ผูกโยงด้วยสิ่งนี้ก็ต้องเวียนว่ายกลับมาพบกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้จะเป็นแบบนั้น แต่การปล่อยวางอย่างแท้จริงก็อาจเป็นหนทางเดียวที่ทำให้หลุดพ้นจากพันธะที่มีต่อกันได้ เฉกเช่นเดียวกับตอนแรกและตอนสุดท้ายที่เปรียบดั่งจุดจบจากจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
การร้อยเรียงลำดับเหตุการณ์ในอดีตชาติให้ออกมาสละสลวยและเข้าใจง่ายนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่ Karmalink สามารถทำให้ผู้ชมปะติดปะต่อกับปริศนาต่างๆ ได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องตีความมากมาย ซึ่งในส่วนนี้ก็ยกความดีความชอบให้กับ Harrison Atkins และ Stephanie Kaznocha สองมือตัดต่อผู้อยู่เบื้องหลังการเล่าเรื่องที่กระโดดข้ามเวลาระหว่างความจริงกับความฝัน จนมาสู่บทสรุปของเรื่องราวที่หลายคนอาจมองข้ามมาตั้งแต่ต้น
อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้การลำดับภาพคือ งานเสียงที่ออกแบบโดย Vincent Villa ซึ่งช่วยชูความเป็นไซไฟของภาพยนตร์ให้มีมิติยิ่งขึ้น และถ้าว่ากันตามตรง หาก Karmalink ขาดองค์ประกอบในส่วนนี้ไปก็อาจทำให้พลังของเรื่องราวนั้นดูถดถอยลงพอสมควร ทั้งในแง่ของจังหวะและความรู้สึกที่ผู้ชมมีต่อภาพยนตร์
สุดท้ายสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือ นักแสดงผู้รับบท Leng Heng อย่าง Leng Heng Prak นั้นได้เสียชีวิตไปก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉาย ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ดูแม้แต่การแสดงอันน่าทึ่งของตัวเองบนจอภาพยนตร์ ซึ่งเครดิตในช่วงท้ายของภาพยนตร์ก็ได้มีการกล่าวระลึกถึงเขาด้วยความคิดถึงอย่างจริงใจ
สามารถรับชม Karmalink ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix
รับชมตัวอย่างได้ที่: