×

การคิดแบบย้อนกลับ (Reverse Thinking) เคล็ดลับที่ทำให้ ‘คาโอรุ มิโตมะ’ มาได้ไกลเกินฝัน

20.10.2023
  • LOADING...
Kaoru Mitoma

HIGHLIGHTS

  • ในหนังสือ VISION: Yume wo Kanaeru Gyakusan Shiko มิโตมะได้บอกเล่าเคล็ดลับของความสำเร็จเอาไว้หลายอย่างด้วยกัน ที่ช่วยกันหล่อหลอมทำให้เขากลายมาเป็นนักฟุตบอลระดับสตาร์ของพรีเมียร์ลีกในเวลานี้
  • มิโตมะจะจดบันทึกทุกวันว่าถ้าเขาอยากเป็นนักฟุตบอลเขาต้องทำอย่างไรบ้าง จะเล่นแบบไหน แล้วถ้าจะเล่นแบบนี้จะต้องฝึกซ้อมแบบไหน จะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร ซึ่งทำมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่กับอะคาเดมีของทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเล เลย

คาโอรุ มิโตมะ เพิ่งจรดปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่ที่จะทำให้เขาอยู่กับไบรท์ตันไปจนถึงปี 2027

 

แต่เชื่อเถอะว่าเขาไม่น่าจะอยู่ถึงวันนั้นหรอก แต่เดี๋ยว นี่ไม่ได้แช่งนะ! เพราะว่าด้วยฝีเท้าและความโดดเด่นในฐานะปีกซ้ายที่เฉิดฉายที่สุดในพรีเมียร์ลีก จะทำให้สโมสรใหญ่ไม่ว่าจะในอังกฤษเองหรือจากต่างประเทศ พร้อมจะกระชากตัวเขาไปร่วมทีมอย่างแน่นอน

 

ความเก่งกาจของมิโตมะนั้นหลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่อง ‘วิทยานิพนธ์’ ในตำนานที่ว่ากันว่าเขาใช้เวลาเพื่อศึกษาการเลี้ยงบอลจนถ่องแท้ แต่ความจริงแล้วยังมีความลับในความสำเร็จอีกหลายเรื่องที่เป็นดัง ‘กระบวนท่าลับ’ ที่ทำให้มิโตมะเดินทางมาได้ไกลเกินกว่าความฝัน

 

หนึ่งในนั้นคือกระบวนการคิดแบบย้อนกลับ (Reverse Thinking) ซึ่งเรื่องนี้คนที่เล่าก็คือตัวเขาเองผ่านหนังสือของตัวเองด้วยที่มีชื่อว่า VISION: Yume wo Kanaeru .Gyakusan Shiko 

 

หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ‘วิสัยทัศน์: ความฝันที่เป็นจริงด้วยวิธีการคิดย้อนกลับ’

 

มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ?

 

สำหรับหนังสือ VISION: Yume wo Kanaeru Gyakusan Shiko เล่มนี้เป็นหนังสือภาษาญี่ปุ่นที่วางจำหน่ายในบ้านเกิดของมิโตมะเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และกลายเป็นหนังสือระดับ Best Seller อย่างรวดเร็ว เพราะความนิยมในตัวของซูเปอร์สตาร์คนนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในรอบปีที่ผ่านมา

 

ในหนังสือ – ซึ่งจะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย – ทางด้านมิโตมะได้บอกเล่าเคล็ดลับของความสำเร็จเอาไว้หลายอย่างด้วยกัน ที่ช่วยกันหล่อหลอมทำให้เขากลายมาเป็นนักฟุตบอลระดับสตาร์ของพรีเมียร์ลีกในเวลานี้

 

เริ่มจากสิ่งแรกที่สำคัญที่สุด ซึ่งนำมาตั้งเป็นชื่อหนังสือคือ วิธีการคิดแบบย้อนกลับ รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่ประกอบร่างให้มิโตมะมีวันนี้

 

Kaoru Mitoma

 

คิดย้อนกลับ จับจุดให้ได้

 

นี่คือหัวใจสำคัญที่สุดทั้งในหนังสือและในชีวิตจริงของมิโตมะเลย เพราะเป็นวิธีที่เขาใช้มาตลอดชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยทีเดียว เรียกว่าตั้งแต่การตั้งเป้าหมายในชีวิตเลยว่าอยากจะเป็นอะไรก่อน แล้วค่อยคิดย้อนกลับไปว่าเพื่อจะเป็นสิ่งนั้นได้มันต้องทำอะไรกลับมาบ้าง

 

แน่นอนว่ามิโตมะอยากเป็นนักฟุตบอล นี่คือ Plan A ของเขา และชีวิตของเขาก็ไม่มี Plan B ด้วย

 

ในหนังสือเล่าว่า มิโตมะจะจดบันทึกทุกวันว่าถ้าเขาอยากเป็นนักฟุตบอลเขาต้องทำอย่างไรบ้าง จะเล่นแบบไหน แล้วถ้าจะเล่นแบบนี้จะต้องฝึกซ้อมแบบไหน จะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร ซึ่งทำมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่กับอะคาเดมีของทีมคาวาซากิ ฟรอนตาเล เลย

 

การบันทึกอย่างต่อเนื่องทำให้เขาได้เห็นการเติบโตของตัวเอง และทำให้เกิดความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จ ต่อให้มันจะเป็นก้าวที่เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

 

หนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่สุดคือเรื่องที่เขารู้ตัวว่าเขามีรูปร่างที่เล็ก (ในตอนเด็ก) ถ้าจะแข่งเรื่องความแข็งแรง ความแข็งแกร่ง พละกำลังย่อมสู้กับนักเตะระดับโลกไม่ได้แน่ๆ ดังนั้นเพื่อจะเอาชนะจุดด้อยตรงนี้ เขาจึงพยายามหาหนทางที่จะทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้เขาเหนือกว่า

 

มิโตมะค้นพบว่าเขาต้องพยายามฝึกเพื่อ ‘ใช้เท้าขวา’ ให้ดีที่สุด เพราะเขาไม่ถนัดเท้าซ้าย จากนั้นจึงเริ่มพยายามฝึกฝนตัวเองให้เล่นด้วยเท้าขวาได้สมบูรณ์แบบที่สุด

 

 

 

ฝึกร่ายมนตร์ที่ปลายเท้า

 

การฝึกฝนนำไปสู่เทคนิคการเล่นที่ยอดเยี่ยมเหนือชั้นของมิโตมะ ที่ทำให้แม้ใครต่อใครจะรู้ก็เถอะว่าเดี๋ยวเขาจะลากตัดใน เพื่อไปหาโอกาสลุ้นประตู แต่การจะปิดทางไม่ใช่เรื่องง่าย

 

การลากเลื้อยสุดสะเด่านี้มาจากเรื่องที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินแล้วคือ การทำวิทยานิพนธ์ว่าด้วยการเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง

 

ในช่วงที่มิโตมะกำลังเริ่มโต เล่นให้กับฟรอนตาเลได้แล้ว แต่ก็ยังศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยที่เมืองสึคุบะด้วย เขาเลือกศึกษาเรื่องของการเลี้ยงบอล โดยใช้วิธีการติดกล้องเอาไว้บนหัวของเพื่อนร่วมทีม เพื่อศึกษาว่าใครเลี้ยงผ่าน ใครเลี้ยงไม่ผ่าน

 

ปรากฏว่าความลับที่เขาพบคือ คนที่เลี้ยงบอลเก่งตาจะไม่มองบอล

 

ความลับนี้ทำให้มิโตมะพยายามฝึกการเลี้ยงโดยไม่มองบอลหรือมองแต่น้อยที่สุด พยายามใช้การมองแบบอ้อมๆ เท่านั้น ใช้ ‘สัมผัส’ ควบคุมลูกฟุตบอล ส่วนตาเอาไว้จ้องคู่แข่งไม่ให้มาแย่งบอลไปจากเรา

 

การค้นพบความลับนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการพยายามฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกและฝึกจนร่างกายจดจำการเคลื่อนที่ได้ในระดับลึกถึงจิตใต้สำนึก จนทำให้เขาสามารถลากเลื้อยหลอกล่อกระชากหนีคู่แข่งทุกคนได้อย่างง่ายดาย

 

 

ตัวสำรองใช่ว่าไม่สำคัญ

 

ถึงจะเริ่มดังเป็นสตาร์เด่นของทีม แต่จะมีเกมที่มิโตมะไม่ได้โอกาสลงเป็นตัวจริง ต้องรออยู่ม้านั่งสำรองข้างสนามเหมือนกัน

 

แต่สำหรับเขา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย

 

ในทางตรงกันข้าม มิโตมะคุ้นเคยกับการรอโอกาสที่ม้านั่งข้างสนามดีทีเดียว และรู้ดีว่าตัวสำรองก็มีบทบาทของตัวเองได้เช่นกัน เหมือนอย่างในฤดูกาลแรกของเขาในยุโรปที่เมื่อย้ายจากฟรอนตาเลมาอยู่ไบรท์ตัน ก็โดนส่งไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับรอยัล ยูเนียน แซงต์-ชิลลัวส์ ในเบลเยียม

 

ในฤดูกาล 2021/22 มิโตมะเป็นตัวสำรองถึง 12 นัด แต่สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม รวมแล้วทำไปถึง 8 ประตู กับ 4 แอสซิสต์

 

ทัศนคติและมุมมองแบบนี้ทำให้เขาเป็นที่รักของโค้ชและเพื่อน เพราะไม่เคยมีอาการไม่พอใจหรือพองลม เพราะคิดว่าเก่งแล้ว ดังแล้ว จะเป็นตัวสำรองไม่ได้

 

เรื่องกินเรื่องใหญ่ ทำร่างกายก็เช่นกัน

 

แต่จะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรองก็ต้องพยายามทำร่างกายของตัวเองให้ดี มิโตมะจะมีการคำนวณเป็นวันย้อนหลังเลยว่า ก่อนจะถึงแมตช์เขาจะมีเวลาในการทำร่างกายกี่วัน มีเวลาพักฟื้นกี่วัน และจะดูแลร่างกายตัวเองให้พร้อมที่สุด

 

เมื่อถึงเวลาลงสนามจะได้พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ

 

หนึ่งในการเตรียมตัวที่สำคัญคือเรื่องกิน

 

มิโตมะเป็นคนกินง่าย เขากินได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะมื้ออาหารที่ทางสโมสรจัดเตรียมเอาไว้ให้ในการมาซ้อมทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นไก่ พาสต้า ข้าว สลัด หรือผลไม้ ขอให้สโมสรเตรียมเอาไว้ให้เถอะ เขาพร้อมที่จะกินให้เรียบโดยไม่เลือกมาก

 

นั่นเพราะมิโตมะรู้ดีว่าการกินของเขาไม่ใช่เพื่ออร่อย แต่เป็นการกินเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย และการรักษาสมดุลในเรื่องการกินจะช่วยทำให้เขาเร่งผลงานในสนามได้ดีขึ้นไม่ว่าจะในการซ้อมหรือวันแข่งจริงก็ตาม

 

แน่นอนว่าระดับมิโตมะเขาไม่ได้รอแค่กิน แต่ยังมีการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องการโภชนาการ (Nutrition) จากการอ่านหนังสือและค้นคว้าในอินเทอร์เน็ต ไปจนถึงการเก็บข้อมูลประจำวันเรื่องของการนอน ความอ่อนล้า และความเข้มข้นในการฝึกซ้อม

 

นั่นทำให้ในฤดูกาลที่แล้วเขาลงสนามให้กับไบรท์ตันและทีมชาติญี่ปุ่นรวมกันถึง 51 นัดโดยที่แทบจะไม่บาดเจ็บเลย

 

 

นักเตะกระโดดกำแพง (ภาษา)

 

สิ่งสุดท้ายที่ทำให้มิโตมะไปได้ไกลคือ ความเข้าใจเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดยสิ่งที่จะช่วยให้เขาปรับตัวได้คือเรื่องของภาษา

 

กำแพงภาษาเป็นอุปสรรคใหญ่มากสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ มีนักเตะเก่งกาจมากมายที่สุดท้ายตายน้ำตื้น เพราะไม่รู้ภาษาหรือไม่มีความมุ่งมั่นมากพอที่จะเอาชนะอุปสรรคเรื่องนี้ จนล้มเหลวอย่างน่าเสียดาย

 

แต่สำหรับมิโตมะเขาเข้าใจในเรื่องพวกนี้ดี และเมื่อย้ายมาเล่นในอังกฤษก็พยายามเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการของการสนทนาที่จะทำให้สามารถทั้งสื่อสารในชีวิตประจำวันและสื่อสารในสนามได้ด้วย

 

โดยเฉพาะอย่างหลังนั้นสำคัญมาก เพราะการสื่อสารที่ดีต้องมี 2 ทาง คือ แค่ ‘ฟัง’ อย่างเดียวไม่พอ

 

เขาต้อง ‘บอก’ ให้เพื่อนได้เข้าใจในความคิดของตัวเขาเองด้วยว่าเขาคิดอ่านอย่างไรในการเล่น

 

เพราะสุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้กลายเป็นนักเตะระดับสตาร์ได้คือ การที่ต้องแสดง ‘อีโก้’ ของตัวเองออกมาให้ทุกคนได้เห็น

 

ว่าข้านี่แหละตัวจริง ไม่ใช่เด็กติ๋มๆ ที่จะมารังแกกันได้!

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X